วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R.)


คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R.)

คณะ ซี.ซี.อาร์ (C.C.R - Creedence Clearwater Revival) ฟอร์มวงในยุค 60 แกนนำของวง คือ จอนห์ ฟอร์เกอร์ตี้ - John Fogerty เล่นดนตรีออกทางแนวเซาธ์เธินท์ร๊อค หรือร๊อคแบบทางใต้ของอเมริกา บทเพลงมีเนื้อหาต่อต้านความไม่ถูกต้องในสังคม
สมาชิกของวงมี 4 คน ประกอบด้วย
จอห์น โฟเกอร์ตี้ (กีตาร์, ร้องนำ, ฮาร์โมนิกา, เปียโน), ทอม โฟเกอร์นตี้ (พี่ชาย -กีตาร์, เปียโน), สตู คุค (เบส) และ ดั๊ก คลิฟฟอร์ด (กลอง และเพอร์คัสชัน)
ซีซีอาร์ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ซิงเกิล "Suzie Q" ของวง เป็นเพลงแรกที่ขึ้นไปถึงอันดับ Top 40 ในปี 1968 ในปีต่อมาเพลง "Proud Mary" ขึ้นถึงอันดับ 2 ของบิลบอร์ด ทางวงมีผลงานอัลบั้มทั้งสิ้น 7 ชุด มีซิงเกิลขึ้นถึงอันดับ 2 ของอเมริกาทั้งสิ้น 7 เพลง ก่อนจะประกาศยุบวงในปี 1972
เพลงที่โด่งดังอีกเพลงที่คนไทยรู้จักอย่างดี คือ Have You Ever Seen The Rain? บทเพลงที่ประท้วงสงครามเวียดนาม พูดถึงสายฝนในเวียดนาม (ฝนดำที่เต็มไปด้วยยาพิษ)

วันอังคารที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2552

คณะ ดอร์ตรี้ (Daughtry)



คณะดอร์ตรี้ (Daughtry)

เป็นวงดนตรีที่เกิดจากนักร้องนำซึ่งมาจากเวที อเมริกันไอดอลฤดูกาลที่ 5 (ปี 2006) ที่มีชื่อว่า Chris Daughtry รับบทเป็นนักร้องนำ มี Josh Paul (มือเบส) Joey Barnes (มือกลอง) Brian Craddock และ Josh Steely (กีต้าร์) มีเพลงฮิตเพลงแรกคือ Home เพลงฮิตอันดับ 1 ของบิลบอร์ด ตอนนี้พวกเขากับมาพร้อมอัมบั้มชุดที่ 2 ล่าสุดที่มีชื่อว่า Leave This Town อัลบั้มนี้เพียงแค่ เปิดตัวก็ได้ติดชาร์ตบิลบอร์ดอันดับหนึ่งของอเมริกาแล้ว


**************************************************************************

คณะยุโรป (EUROPE)

เป็นวงร็อค จากประเทศสวีเดน ซึ่งในแถบสะแกนดิเนเวียนี้ได้สร้างศิลปินดังๆ มาแล้วมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ABBA,ALANIS MORRISSETT คณะ ยุโรป ก่อตั้งในปี 1976 ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ในยุคแรก คือ
- โจอี้ย์ เทมเปรส (ร้องนำ)
- จอห์น นอรัม (กีต้าร์)
- จอห์น ลีเวน (เบสกีต้าร์)
- โทนี่ รีโน (กลอง)

มีผลงานออกมาทั้งหมด 5 ชุด คือ
1. งานแรกในปี 1983 ชุด EUROPE มี SINGLE ดังคือ Seven Doors Hotel
2. ชุดที่ 2 ปี 1984 ชื่อ Wing Of Tomorrow
3. ชุดที่ 3 ปี 1986 ชื่อ The Final Countdown มีเพลงดังเช่น The Final Countdown เพลงอันดับ Top 10 และเพลง Carrie เพลงอันดับที่ 1 ของ BillBoard และอัลบั้มชุดนี้ทำยอดขายได้มากกว่า 7.8 ล้านก๊อบปี้
4. ชุดที่ 4 ปี 1988 ชุด Out Of This World
5. ชุดที่ 5 ปี 1991 ชุด Prisoner In Paradise ซึ่งเป็นชุดสุดท้ายขอวง

วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ศิลปิน ดิออน วอร์วิค (Dionne Warwick)


ดิออน วอร์วิค (Dionne Warwick)


เกิดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1940 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน เกิดและเติบโตที่ รัฐนิวเจอร์ซี่ย์ ตอนเด็กได้ร้องเพลงกับคณะร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์ หลังจากนั้นได้ก่อตั้งคณะ ทรีโอกับญาติ คือ ดี ดี วอร์วิค และซิสซี่ ฮูสตัน (แม่ของน้า วิทนีย์ ฮูสตัน) มีเพลงที่โด่งดังมากมาย เช่น เพลง Walk On By , I Say A little Prayer และมีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 อย่างเพลง 'That's What Friends Are For' ที่ร้องร่วมกับสตีวี่ วันเดอร์ เอลตัน จอห์น และแกลดี้ส์ ไนท์ เป็นเจ้าของรางวัลแกรมมี่ 5 รางวัล, เป็นนักแสดง นักสังคมสงเคราะห์ ทูตองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ผลงานเพลงของเธอเป็นที่รู้จักดีโดยทำงานร่วมกับนักประพันธ์เพลง โปรดิวเซอร์ ชื่อดังอย่าง เบิร์ท บาคารัค และ ฮัล เดวิด
ในวันที่ 20 ธันวาคม 2552 จะมีคอนเสิร์ตการกุศล “Take my friends, Elephants Back Home” เพื่อโครงการ “ช้างยิ้ม” ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดย ศิลปินดังระดับโลก ดิออน วอร์วิค มาทำการแสดง บัตรราคา 1,500-4,000 บาท คอนเสิร์ตในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชน ถือว่าเป็นการสร้างความตื่นตัวในการร่วมมือแก้ปัญหาช้างเร่ร่อนได้อีกส่วน หนึ่ง ทั้งนี้เงินรายได้มอบให้เป็นกองทุนในการรณรงค์ช่วยช้างเร่ร่อนคืนถิ่น

**กด PLAY แล้ว PAUSE จนกระทั่งแถบแดงโหลดเต็มเสร็จก่อนนะครับ แล้วค่อยเปิดเพื่อสุนทรีย์ในการชม***



วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คณะเดอะโรลลิงสโตนส์ (The Rolling Stones)


เดอะโรลลิงสโตนส์ (The Rolling Stones)

เป็นวงร็อกอังกฤษ ก่อตั้งวงในลอนดอนปี 1962 สมาชิกประกอบด้วย
ไบรอัน โจนส์ หัวหน้าวงดั้งเดิม
เอียน สจ๊วต มือเปียนโน
มิก แจ็กเกอร์ นักร้องนำ
คีธ ริชาร์ดส มือกีต้าร์
ในช่วงแรกแจ็กเกอร์และริชาร์ดส ร่วมในฐานะผู้ร่วมเขียนเพลง จากนั้นเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในวงหลังจากเกิดปัญหาและความไม่เอาแน่เอานอนของไบรอัน โจนส์ ต่อจากนั้น
มือเบส บิลล์ ไวแมน
และมือกลอง ชาร์ลีย์ วัตส์ ก็เข้ามาเป็นสมาชิกในยุคแรก

ภายหลัง เอียน สจ๊วตรู้สึกว่าไม่เหมาะสมกับการอยู่ในวง จึงออกจากวงอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1963 แต่ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้จัดการวงในช่วงออกเดินทางทัวร์ และเป็นมือคีย์บอร์ด จนเขาตายในปี 1985
ในช่วงแรกผลงานส่วนใหญ่จะนำเพลงเก่าในรูปแบบบลูส์อเมริกันและอาร์แอนด์บี มาทำใหม่ หลังจากที่วงประสบความสำเร็จครั้งแรกในสหราชอาณาจักร พวกเขาก็เริ่มประสบความสำเร็จในอเมริกาหลังจากออกรายการ "British Invasion" ในต้นยุคทศวรรษ 1960 วง เดอะโรลลิงสโตนส์มีภาพลักษณ์ที่ขัดกับวงคู่แข่งอย่าง เดอะบีทเทิลส์อย่างเห็นได้ชัดคือ มีภาพลักษณ์เป็นพวกยาวรุงรังและต่อต้านสังคม มีซิงเกิ้ลดังในปี 1965 อย่าง "(I Can't Get No) Satisfaction" และมีผลงานอัลบั้ม Aftermath
หลังจาก ไบรอัน โจนส์ เสียชีวิตในปี 1969 หลังจากถูกไล่ออกจากวง และแทนที่โดย มิก เทย์เลอร์ ซึ่งเทย์เลอร์ร่วมบันทึกเพลงกับวง 5 สตูดิโออัลบั้มก่อนออกจากวงในปี 1974 หลังจากนั้นมือกีตาร์ รอนนีย์ วูด เข้ามาในวง จากนั้นไวแมนออกจากวงในปี 1983 และดาร์รีล โจนส์ เข้ามาเป็นสมาชิกวงอย่างไม่เป็นทางการ เขาทำงานกับวงตั้งแต่ปี 1994 เดอะโรลลิงสโตนส์ ออกสตูดิโออัลบั้มมา 22 อัลบั้มในสหราชอาณาจักร (24 ชุดในสหรัฐอเมริกา) มีอัลบั้มคอนเสิร์ต 8 ชุด (9 ชุดในสหรัฐอเมริกา) และมีอัลบั้มรวมเพลงอีกหลายชุด มียอดขายรวม 200 ล้านชุดทั่วโลก
อัลบั้มล่าสุดของพวกเขาคือ A Bigger Bang ออกในปี 2005 และเขายังมีสถิติในชุด Sticky Fingers (1971) ที่ถือเป็นอัลบั้มอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ถึง 8 ชุด นอกจากนี้พวกเขายังมีชื่ออยู่ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ในปี 2004 และติดอันดับ 4 ของการจัดอันดับนิตยสารโรลลิงสโตนในหัวข้อ 100 ศิลปินที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล

เดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ ศิลปินร็อกที่ยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 40 ปี มีผลงานมากกว่า 40 อัลบั้ม ยอดขายรวมกันกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก จนกลายเป็นตำนานแห่งวงการดนตรีร็อกแอนด์โรล และเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสาขาเพลงร็อก ปี 60 - 90 พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจของศิลปินร็อกยุคต่อมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แอร์โร่ สมิธ, กันแอนด์โรสเซส, เรด ฮอต ชิลลี่ เปปเปอส์

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติ คณะ Kansas



ประวัติ คณะ Kansas

Kansas เป็นวงร็อคในยุด 70 ที่แรกเริ่มก็เหมือนกับวงร็อคทั่วไป แต่ด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่อยู่ในระดับสูงของนักดนตรี สร้างอิทธิพลให้กับตนเองฉีกแนวจากวงร็อคทั่วไป ลักษณะเพลงที่มีความเร็วกว่า British Progressive Rock เช่น Genesis,Yes,King Crimson ผสมผสานกับไวโอลีน

สมาชิกยุด Line Up ประกอบด้วย
-Phil Ehart กลอง
-Dave Hope เบส
-Kerry Livgren Lead&Rhythim Guitar
-Robbie Steinhardt ไวโอลีน,ร้องนำ
-Steve Walsh ร้องนำ,เปียโน
-Richard Williams Lead Guitar

Kansas เป็นวง Progressive Rock จากอเมริกา ภายใต้กระแสดนตรีจากอังกฤษ มีอัลบั้มชุดแรก ที่มีชื่อเดียวกับวง ในปี 1974
ในปี 1976 มีเพลงฮิต ชื่อ Carry On Wayward Son ผลงานจากอัลบั้มชุดที่ 4 คือ Left over และมีเพลงฮิตที่หลายคนคุ้นเคย จากอัลบั้ม Point Of No Return เพลง Dust In The Wind บทเพลงที่บอกว่า

“เพียงเถ้าธุลี ลอยละล่อง ละเลียดผ่านสายลมพลิ้วไหว ทุกสิ่งล้วนลวงตา และไม่จีรังยั่งยืน”

โดยมีเสียงกีต้าร์ อคูสติกใสสะอาด และเสียงไวโอลินหวานหู คลอไปกับบทเพลง

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติ คณะ เดอะ คอรร์ (The Corrs)


ประวัติ คณะ เดอะ คอรร์ (The Corrs)

วงดนตรีคณะ เดอะ คอรร์ (The Corrs) เป็นวงดนตรีจาก Ireland ซึ่งตั้งชื่อวงตามชื่อสกุลของตนเอง

The Corr ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ที่เป็นพี่น้องกัน
ชาย 1 คือ Jim Corr (พี่ชายคนโต)
และหญิง อีก 3 คือ Andrea Corr , Caroline Corr, Sharon Corr

เล่นเพลงสไตล์รักบ้าน แนว Celtic rock ที่ไพเราะและที่ความเป็น Pop ร่วมสมัยอยู่สูง ซึ่งวงนี้โด่งดังมากในช่วงยุคปี 2000 มีเพลงฮิตต่าง ๆ เช่น What Can I Do, Breathless, Runaway, So Young, Dream และล่าสุด All The Love In The World ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ America Sweethearts
เดอะ คอรร์ส เริ่มประสบความสำเร็จจากการได้แสดงเพลง "Runaway" ซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาในรายการ The Late Late Show ในช่วงปี 1993 แต่นอกจากบ้านเกิดใน ไอร์แลนด์ แล้ว พวกเขายังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างซักเท่าไร จนกระทั่งในปี 1994 เมื่อ จีน เคนเนดี สมิธ เอกอัคราชทูตอเมริกันประจำประเทศไอร์แลนด์ ได้เห็นการแสดงของ เดอะ คอรร์ ที่เมืองดับลิน จึงเชิญให้พวกเขาไปแสดงในงานฟุตบอลโลกในปี 1994 ที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา ก่อนถึงกำหนดกลับไอร์แลนด์ ทั้ง 4 พี่น้องได้ใช้เวลาระหว่างนั้น ตระเวนหาบริษัทแผ่นเสียงที่สนใจจะรับพวกเขาไว้ในสังกัด สุดท้ายจึงได้เข้าสังกัด วอร์เนอร์มิวสิคกรุ๊ป และได้ร่วมงานกับ เดวิด ฟอสเตอร์ โปรดิวส์เซอร์และนักแต่งเพลงชื่อดัง รวมถึงได้แสดงเป็นวงเปิดคอนเสิร์ต ให้กับ ซีริน ดีออน ด้วย


อัลบั้มชุดแรก Forgiven ,Not Forgotten ซึ่งประสบความสำเร็จมากในไอร์แลนด์ ,ออสเตรเลีย,สเปน สวีเดน และอังกฤษ แคนาดา ด้วย

อัลบั้มชุดที่ 2 ในปี 1997 อัลบั้ม Talk On Corners นอกจากจะประสบความสำเร็จในไอร์แลนด์แล้ว ยังดังในอังกฤษด้วยยอดขายระดับ 9 Platinum ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตอัลบั้มในประเทศอังกฤษ รวมถึงในประเทศอื่นๆ และมียอดขายถึงหลัก Gold ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้มนี้มีเพลงดังอย่าง "Dreams" เพลงเก่าของฟลีทวูด แมค, "What Can I Do?" และ "So Young"

ในปี 2000 อัลบั้ม In Blue มีเพลงฮิตอันดับ 1 ในอังกฤษเพลงแรกของวง คือเพลง "Breathless"

ในปี 2001 ออกอัลบั้มรวมฮิต Best of The Corrs ซึ่งมีเพลง "All The Love In The World" และ "Would You Be Happier"

ในปี 2004 กับอัลบั้มชุดที่ 4 Borrowed Heaven มีเพลงฮิตอันดับ 6 ในอังกฤษเพลง "Summer Sunshine" นอกจากนี้ เดอะ คอรร์ ยังได้อัดเสียงร่วมกับ จอช โกรแบน เพลง Canto Alla Vita นอกจากนี้ยังได้ร่วมงานกับศิลปินดังๆ อย่าง ร็อค สจวร์ต,วง เดอะ โรลลิ่งสโตนส์ ,เชอริล โครว์ ในเพลง "C'mon, C'mon" และ โบโน จากวง U2

ในปี 2005 ออกอัลบั้ม Home เป็นอัลบั้มเพลงแบบไอริชดั้งเดิม ซึ่งส่วนใหญ่คัดมาจากหนังสือเพลงที่แม่ของ 4 พี่น้องซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเขียนเอาไว้ ในเดือน กรกฎาคม 2005 เดอะ คอรร์ส ได้ร่วมคอนเสิร์ตระดับโลก LIVE 8 โดยได้ร่วมแสดงกับ โบโน ในเพลง "One" ด้วย

สุดท้ายในเดือนมีนาคม 2006 เดอะ คอรร์ส ตัดสินใจหยุดพักงานเพลง เนื่องจากอยากมีเวลาให้กับครอบครัว และแยกย้ายกันไปทำงานในด้านอื่น

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติ ชาคิร่า (Shakira)


ประวัติ ชาคิร่า (Shakira)

ชาคิร่า หรือ ชาคิร่า อิซาเบล เมบารัค ไรโพลล์ (Shakira lsabel Mebarack Ripoll) นักร้องสาวชาวโคลัมเบียวัย 32 ปี ที่มีสะโพก ที่ได้รับฉายาว่า “สะโพกดอกไม้ไหว” ด้วยทักษะในการเต้นระบำหน้าท้อง (Belly Dancing) ที่โดดเด่น โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ สาวสะโพกดินระเบิด อย่าง เจนิเฟอร์ โลเปซ
เธอหลงรักการร้องเพลง และการเต้นมาตั้งแต่ยังเด็ก จนเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นในยุค 90s เธอจึงเริ่มไต่เต้าเข้าสู่วงการเพลงละตินจนเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งโซนอเมริกาใต้
ต่อมาในปี 2001 เธอเริ่มก้าวสู่ความโด่งดังในระดับสากลกับอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดแรกในชีวิตอย่าง Laundry Service ที่มียอดขายมากถึง 13 ล้านเหรียญทั่วโลก และปิดท้ายในปี 2006 ด้วยการประสบความสำเร็จถึงขีดสุดกับซิงเกิ้ลเพลง Hips Don’t lie ที่เธอไปร่วมร้องรับเชิญให้กับเจ้าพ่อเพลงฮิพฮอพ ไวเคลฟ์ ณ็อง (Wyclef Jean) จนขึ้นอันดับ 1 ใน U.S.A. และอีกหลายประเทศ ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งแรงส่งที่ช่วยให้เธอกลายมาเป็นศิลปินจากโคลัมเบียที่มียอดขายผลงานสูงสุดตลอดกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้
ปี 2009 อัลบั้มชุดล่าสุด She Wolf ถือเป็นการเปลี่ยนแนวเพลงของเธออย่างชัดเจนจากละตินป๊อบไปสู่อิเลคทรอป๊อบ และส่วนผสมจากดนตรีในแบบเวิลด์มิวสิค ได้อย่างน่าสนใจ ปัจจุบันเธอคบหากับนักกฏหมายหนุ่มชื่อ อันโตนิโอ เดอ ลา ครัว ได้ 9 ปี และตกลงหมั้นหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประวัติคณะ ดีพ เพอร์เพิล (Deep Purple)


คณะ ดีพ เพอร์เพิล (Deep Purple)

เป็นวงดนตรีฮาร์ดร็อค และเฮฟวี่เมทัล จาก ประเทศอังกฤษ ฟอร์มวงกันในปี 2511 สมาชิกยุดที่โด่งดังและประสบความสำเร็จที่สุดประกอบด้วย
เอียน กิลแลน ร้องนำ
ริทชี แบล็กมอร์ กีต้าร์
จอน ลอร์ด คีย์บอร์ด
โรเจอร์ โกลเวอร์ เบส
เอียน เพซ กลอง
ซึ่งร่วมงานกันในช่วงปี 2512 – 2516 (ยุดที่ 2) ก่อนจะแยกวงเป็นเวลา 8 ปี และกลับมาร่วมงานกันใหม่ระหว่างปี 2527 – 2532 ภายหลังริทชี แบล็กมอร์ ได้ขัดแย้งกับสมาชิกคนอื่นในวงอย่างรุนแรงและได้แยกจากกันตั้งแต่ปี 2536 เป็นต้นมา ทางวงจึงได้นำ โจแซทริอานี และสตีฟ มอร์ส มาเล่นกีต้าร์แทน
วงดีพ เพอร์เพิล มีชื่อเสียงในการแสดงดนตรีสด และประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วง พ.ศ. 2512 ถึง 2516 โดยเฉพาะงานบันทึกการแสดงสดในปี พ.ศ. 2515 ที่ประเทศญี่ปุ่น ชื่อชุด "Made in Japan" และ "Live in Japan" ผลงานเพลงที่ได้รับความนิยม เช่นเพลง "Highway Star", "Smoke On The Water", "ฺBlack Knight", "Woman From Tokyo", "Speed King" และเพลงคัฟเวอร์ เช่น "Hush" และ "Kentucky Woman"
วงดีพ เพอร์เพิล เคยได้รับการบันทึกสถิติโลกกินเนสส์บุคค์ ว่าเป็นวงดนตรีที่เล่นเสียงดังที่สุด และได้รับการจัดอันดับโดย VH 1 ให้เป็นวงดนตรีฮาร์ดร็อกยอดเยี่ยม อันดับที่ 22 และมียอดขายอัลบั้มทั๋วโลก มากกว่า 100 ล้านแผ่น

วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ Jimi Hendrix


Jimi Hendrix

นี่คือชายผู้สร้างตำนานที่ Woodstock อัจริยะผู้ที่ใคร ๆ ยกย่องว่าคืออันดับ 1 เเห่งวงการกีตาร์ ผู้ถูกร่ำลือว่าได้ขายวิญญาณให้กับซาตาน Jimi Hendrix มีชื่อจริง ๆว่า จอห์นนี อัลเลน เฮนดริกซ์ เกิดวันที่ 27 พฤศจิกายน 1942 เป็นลูกของ Al Hendrix (อัล เฮนดริกซ์) ซึ่งในตอนเด็กพ่อของเขากำลังรับราชการทหารอยู่ ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เขาจึงต้องไปอยู่ตามบ้านญาติ ๆ เมื่อเขาอายุ 5 ขวบพ่อเขาก็พาไปเปลี่ยนชื่อเป็น James marshell Hendrix (เจมส์ มาร์แชลล์ เฮนดริกซ์) แต่เขากลับชอบเรียกตัวเองว่า “จิมมี่” เขาเริ่มฟังเพลงตามแผ่นเสียงที่พ่อของเขาสะสม และเริ่มเล่นกีตาร์คูสติค ( Acoustic Guitar) เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น พ่อของเขาตัดสินใจขาย Saxsophone ของเขา เพื่อนำเงินไปซื้อกีตาร์ไฟฟ้า Supro Ozark สีขาวตัวหนึ่งเป็นของขวัญ เขาเริ่มศึกษางานของเหล่ามือกีตาร์ Bluse เช่น B.B.King , Muddy Waters ต่อมาได้ไปเล่น Back up ในตำแหน่งกีตาร์ให้กับศิลปินหลายท่าน เช่น Ting Turner , Little Richard และ B.B.King

จนเมื่อปี 1959 เขาจึงตั้งวงดนตรีแรกของเขาขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Rocking Kings จากนั้นเขาก็ไปเป็นทหารพลร่ม จนเมื่อปี 1961 ได้ลาออกจากราชการทหาร และหันมาทุ่มเทเวลาให้ดนตรีอย่างจริงจังและได้ออกเดินทางเล่นดนตรีไปทั่ว สหรัฐฯ

ในปี 1965 เขาได้ตั้งวงใหม่ของเขาขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Jimmy James And The Blues Flames ในปี 1966 วงดนตรีของเขาได้เดินทางไปเล่นยังร้านค้าแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก เขาได้เจอกับ ชาส แชนเลอร์ สมาชิกวง The Animals เชนเลอร์ประทับใจการเล่นกีตาร์ของเขามาก แชนเลอร์ เดินทางไปอังกฤษกับ Hendrix จนในเดือนตุลาคมปี 1966 ได้มีการคัดเลือกเอา Noel Redding(โนเอล เรดดิง)มาเล่นเบส และ Mitch Mitchell(มิตช์ มิตเชล มาเล่นกลอง) และก็กลายมาเป็นวง The Jimi Hendrix Experience พร้อมกับออกอัลบัมแรกกับสังกัด Polydor ชื่อ Are You Experienced? ในช่วงปลายปี 1967 อัลบัมชุดนี้ก็กลายเป็นอัลบัมในตำนานไปแล้ว ในเดือนมิถุนายน 1967 เขาเดินทางกลับสหรัฐฯ และได้ไปแสดงที่เทศกาลดนตรี Monterey International Pop Festival หลังจากวันนั้นชื่อ Jimi Hendrix ก็ได้โดงดังไปทั่วและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง

ในเดือนมกราคมปีต่อมา ก็ได้ออกอัลบัมชุดที่ 2 ชื่อ Axis:Bold As Love
และออกอัลบัมชุดที่ 3 ในเดือนตุลาคมปี 1968 โดยใช้ชื่อว่า Electric Ladyland ในชุดนี้มี 2 แบบคือ 1.แบบ Censored 2.แบบ Uncensored หลัง จากนั้นประมาณ 1 ปีวง The Jimi Hendrix Experience ได้ปิดตัวลงหลังจากการเล่นคอนเสิร์ตร่วมกันครั้งสุดท้ายที่ไมล์ไฮสเตเดียม ที่เดนเวอร์ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1969 แต่ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน (1969)เขาก่อตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกครั้งในชื่อ Gypsys Suns and Rainbows เพื่อเล่นในเทศกาลดนตรี Woodstock Music and Art Fair อย่างไรก็ตาม วงดนตรีนี้ถูกยุบไปอย่างรวดเร็วในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ซึ่งหลังจากยุบวงแล้ว จิมมีพร้อมกับเพื่อนสมัยเป็นทหารที่ชื่อ บิลลี ค็อกซ์ ได้ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกครั้งในชื่อ The Band of Gypsys โดยบิลลีรับหน้าที่เป็นมือเบส แต่วง The Band of Gypsys ก็ได้เล่นคอนเสิร์ตร่วมกันเพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้นก่อนจะยุบวงไป


การแสดงครั้งสุดท้ายของพวกเขาก็คือ การแสดงที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1970 อัลบั้มบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนั้นออกตามมาในเดือนเมษายน พร้อมกับได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดยยกให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มบันทึกการแสดงที่ดีที่สุดตลอดกาล หลังจากยุบวง The Band of Gypsys แล้ว จิมมี เฮนดริกซ์จึงหันไปเปิดสตูดิโอบันทึกเสียง
ของตัวเขาเองที่ชื่อ Electric Lady Studios ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1970 ต่อจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ จิมมีเดินทางไปยังกรุงลอนดอนและในวันที่ 17 กันยายน เขาได้แต่งเพลงสุดท้ายในชีวิตของเขาขึ้น คือเพลง “The Story of Life” ในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น ทั่วโลกต้องตกตะลึงหลังทราบข่าวการเสียชีวิตของราชากีตาร์ จิมมี เฮนดริกซ์ มีการกล่าวถึงสาเหตุการตายของเขาว่าเกิดจากการสำลักอาเจียนของตัวเอง หลังจากที่กินยานอนหลับขนาดแรงเข้าไปถึง 9 เม็ด ร่างไร้วิญญาณของเจ้าของตำนานเพลงร็อกผู้นี้ถูกนำกลับมายังบ้านเกิด โดยฝังไว้ที่สุสานกรีนวูด เมมโมเรียล ปาร์ก เมืองเรนตัน มลรัฐวอชิงตัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ จิมมี เฮนดริกซ์ ยังคงได้รับการยอมรับว่าเป็นมือกีตาร์ที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา

ในยุคนั้น ต้องยอมรับว่า วงการกีต้าร์ของอังกฤษกำลังระอุเพราะทั้ง Jeff Beck, Eric Clapton และ Pete Townshend ต่างกำลังถกเถียงกันว่าใครคือหมายเลข 1 กันแน่ และต้องขอบคุณเฮนดริกซ์ที่เป็นผู้ยุติศึกในครั้งนี้ เพราะหลังจากได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองทุกคนก็เห็นพ้องกัน ว่ามันช่างเป็นการโต้เถียงที่ไร้สาระจริงๆ และตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็เลิกพูดถึงมันอีก

วันอังคารที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2552

ประวัติดนตรีร็อก


วง เมทัลลิก้า ( Metallica )

ก่อตั้งวงในมลรัฐแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 9 พ.ค.1981 โดยมี
-ลาร์ส อัลริช (กลอง)
-เจมส์ เฮดฟิลด์ (กีต้าร์-ร้องนำ)
-คลิฟ เบอร์ตัน (เบส)
-เคิร์ก แฮมเมต (กีต้าร์)
ภายหลังคลิฟ เบอร์ตัน ได้เสียชีวิตเนื่องจากอุบัติเหตุ จึงได้รับ เจสัน นิวสเตต เข้ามารับหน้าที่แทน อัลบั้มที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด คือ Black Album (อัลบั้มปกดำไม่มีชื่อ) งานในปี 1991 ซึ่งขายได้มากกว่า 8 ล้านชุด มีเพลงฮิต ติดอันดับหลายเพลง คือ Enter Sandman , Sad But True , The Unforgiven โปรดิ้วส์โดย Bob Rock ร่วมกับ เจมส์ เฮดฟิลด์ และลาร์ส อัลริช
หลังจากนั้นไม่ประสบความสำเร็จมากนัก จากอัลบั้ม Load และ Reload ที่ร็อกไม่พอ ส่วนอัลบั้มก่อนหน้านี้อย่าง St. Anger ก็หนักขึ้นมาหน่อยแต่การบันทึกเสียงยังไม่ดีพอ มาคราวนี้ Metallica เลยทำเพลงย้อนไปในช่วงยุค 80 แบบเดิมของวงอีกครั้ง ด้วยแนวเมทัลที่หนักหน่วง จัดจ้าน ไม่สนใจเรื่องเพลงที่จะเปิดทางวิทยุได้ห รือเปล่า เพล.งจะยาวไปหรือเปล่า แต่ละเพลงโซโล่กันมีความยาวไม่ต่ำกว่า 5 นาที ถึงจะมีแค่ 10 เพลง แต่ก็เต็มเนื้อที่กว่า 70 นาทีของซีดี
และนี่คือ อัลบั้มชุดใหม่ที่ชื่อว่า Death Magnetic ที่เปิดตัวด้วยเพลง “That Was Just Your Life” เริ่มต้นด้วยเสียงเต้นหัวใจก่อนจะอัดกระหน่ำด้วยดนตรีเมทั่ลที่ได้น้ำได้เนื้อสมใจแฟนเพลง ตามมาด้วยท่อนริฟฟ์อันดุดันในเพลง “ The End Of The Line “ เช่นเดียวกับเพลงต่อมา “Broken Beat&Scarred”
ส่วนเพลง ‘The Day That Never Comes “ ซิงเกิ้ลแรกของอัลบั้ม เริ่มด้วยท่วงทำนองช้าๆ ก่อนจะเร่งจังหวะปิดท้ายด้วยการโซโล่กันแบบยาวเหยียดในช่วงท้าย ในส่วนของเพลงภาคต่ออย่าง The Unforgiven III ที่หลายๆคนอาจจะ ตั้งแง่ไว้ก่อนว่าไม่น่าจะเจ๋งก็ยังทำออกมาได้ดีแม้จะไม่คลาสลิกเท่า Unforgiven ภาคแรก ก็ตาม ส่วนใครที่อย่างฟังการผสมผสานระหว่างซาวนด์ Metallica แบบดั้งเดิมกับซาวนด์ แบบใหม่ ต้องลองฟังเพลง Cyanide ที่วงเมทั่ลรุ่นหลังต้องมาดูเป็นตัวอย่าง หรือแม้แต่เพลงบรรเลงในอัลบั้มชุดนี้อย่าง Suicide &Redemption ก็ทำออกมาได้อย่างยิ่งใหญ่ ไม่น่าเบื่อสำหรับคอดนตรี แม้จะมีความยาวเกือบ 10 นาที ก่อนจะปิดท้ายอัลบั้มด้วยเพลง My Apocalypse ที่กระหน่ำกันจนคนฟังแทบโยกหัวตามไม่ทัน

ภาพรวมอัลบั้มชุดใหม่ของ Metallica ที่ชื่อ “ Death Magnetic” แม้จะไม่ได้เป็นงานที่คลาสสิกระดับขึ้นหิ้ง แต่อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นว่า Metallica กลับมาเก๋าเหมือนเดิมแล้ว ใครที่ชอบของหนัก ของแรง เชิญรับฟังได้
**ขอขอบคุณ ข้อมูลจากนิตยสาร Zoo



*******************************************************

วงเรนโบว์ (Rainbow)

เป็นวงดนตรีฮาร์ดร็อกสัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อ ค.ศ. 1975 โดยริทชี แบล็กมอร์ อดีตมือกีตาร์วงดีพเพอร์เพิล ร่วมกับอดีตสมาชิกจากวงเอลฟ์ คือ รอนนี เจมส์ ดิโอ (นักร้องนำ) มิคกี ลี โซล (คีย์บอร์ด) เครก กรูเบอร์ (เบส) และ แกรี ดริสคอล (กลอง) ในเวลาต่อมา ทางวงได้เปลี่ยนนักดนตรีอีกหลายรุ่น โดนมีนักดนตรีหลักคือตัวริทชี แบล็กมอร์ เอง
วงเรนโบว์ได้รับการจัดอันดับจาก VH1 เป็นวงดนตรีอันดับที่ 90 ใน 100 อันดับศิลปินฮาร์ดร็อกยอดเยี่ยม

-1975 Ritchie Blackmore's Rainbow
-1976 Rising
-1978 Long Live Rock 'n' Roll
-1979 Down to Earth
-1981 Difficult to Cure
-1982 Straight Between the Eyes
-1983 Bent out of Shape
-1995 Stranger in Us All

บทเพลงของ RAINBOW เพลง Temple Of The King .

วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2552

คณะ ดิอีเกิ้ล (THE EAGLES)


คณะ ดิอีเกิ้ล (the eagles )

พญาอินทรี ซึ่งประกอบด้วย Glenn Frey,Don Henley,Joe Walsh และ Timothy B. Schemit หนุ่มชาวอเมริกันทั้ง 4 คน ก่อตั้งวงเมื่อปี 1971 มีอัลบั้มชุดแรกในปี 1972 ชื่ออัลบั้ม EAGLE และอีก 8 อัลบั้ม ได้แก่
-DESPARADO (1973)
-ON THE BORDER (1974)
-ONE OF THIS NIGHT (1975)
-HOTEL CALIFORNIA (1976)
-THE LONG RUN (1979)
-EAGLE LIVE (1980)
-HELL FREZZES OVER (1994)

ถ้าไม่นับ 2 ชุดล่าสุดที่เป็นบันทึกการแสดงสดและรวมฮิต อัลบั้มล่าสุดที่ชื่อ LONG ROAD OUT OF EDEN (2007) ถือเป็นอัลบั้มชุดที่ 7 โดยพวกเข้าไม่ได้ออกผลงานชุดใหม่เลยในรอบ 28 ปี อัลบั้มนี้มีเพลงถึง 20 เพลงที่เดียว


คณะ Eagles เพลง How Long

วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2552

คอนเสิร์ท MR. BIG



วง มิสเตอร์บิ๊ก (MR. BIG)

วง ร็อคยุค 90’s ที่รวบรวม ยอดฝีมือ Paul Gilbert มือกีตาร์, Billy Sheehan เบส, Pat Torpey กลอง และ Eric Martin ร้องนำ ที่ต้องบอกว่าเป็น Super Group พวกเขารวมตัวกันในปี 1985 เล่นดนตรีในแนว Heavy Metal, Ballad และ Blues Rock จุดเด่นของวง Mr. BIG อยู่ที่ พวกเขามีดนตรีที่เต็มไปด้วยความสามารถอย่างล้นเปี่ยม และมีความเป็น ร็อค และ ป๊อป ผสมอยู่ด้วยอย่างลงตัว จึงแตกต่างจากวง ร็อค ในยุคนั้น พอสมควร

Paul Gilbert เป็นมือกีตาร์ที่รู้จักกันดี จากความเร็วและเทคนิคอันยอดเยี่ยม จากผลงานวง Racer X และงานเดี่ยวของเขาเอง
Billy Sheehan มือเบสระดับเทพ โด่งดังมาจาก David Lee Roth และเคยร่วมงานกับ นักดนตรี ระดับเทพอีกมากมาย
Pat Torpey เป็นมือกลองที่ตีและ มิกซ์ดนตรี ระดับหัวแถว
Eric Martin เป็นนักร้องดาวรุ่ง ที่มีน้ำเสียงชวนฝันและกร้าวในตัว

ทั้งสี่มารวมตัวกันสร้างผลงานอันเป็นตำนานบทหนึ่งของวงการเพลงร็อค ด้วยซิงเกิ้ลสุดฮิตอย่าง To be with you ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ของ Billboard Chart รวมถึงเพลงฮิตอื่นๆ อย่าง Wild World, Green Tinted Sixtes Mind เป็นต้น
อัลบั้ม แรก ของ Mr.BIG ออกในปี 1989 ใช้ชื่อ Mr.BIG ชื่อเดียวกับวง ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าไรใน USA ในส่วนของ Mainstream Rock แต่ประสบความสำเร็จ ในญี่ปุ่น และพวกเขาก็ออกทัวร์โดยเล่นเป็นวงเปิดให้วง Progressive Rock รุ่นใหญ่ อย่าง Rush
ในปี 1991 อัลบั้มที่ สอง Lean into it ที่มีเพลง To be with you, Just take my heart สร้างความสำเร็จอย่างมากให้กับวง อัลบั้มนี้ขายได้หลายล้านก็อปปี้ และพวกเขาก็เริ่มมี World Tour เป็นของตนเอง งานชิ้นนี้ทำให้พวกเขากลายเป็น Super Star ขึ้นมาชั่วข้ามคืน โดยเฉพาะ Mainstream Rock คนฟังทั่วไปรู้จักชื่อ Mr.BIG
อัลบั้ม ที่ สาม Bumb Ahead ในปี 1993 ก็มีเพลงฮิต ที่พวกเขาเอาเพลงของ Cat Steven มาทำใหม่ ในแบบของเขา Wild World ก็ขึ้นอันดับหนึ่งอีกเช่นกัน
และปี 1996 ก็ออกอัลบั้ม Hey Man เป็นอัลบั้มสุดท้ายของวงที่มี Paul Gilbert เพราะในปี 1997 เขาก็ออกจากวง เพราะสาเหตุจากทิศทางดนตรีไม่ตรงกัน เขาไปออกงานเดี่ยวของตนเอง
Mr.BIG ก็ได้ Richie Kotzen มือกีตาร์มาดเข้มมาแทน และได้ทำผลงานออกอีกสองอัลบั้ม
ในปี 2000 ออกอัลบั้มที่ชื่อว่า Get over it และ ปี 2001 ออก Actual size ที่ออกเฉพาะในญี่ปุ่น ขายได้หลายล้านก็อปปี้เช่นกัน
วง Mr.BIG ก็ต้องหยุดลงเพราะ ความไม่เข้าใจและทิศทางดนตรีที่ไม่ตรงกันในวง สร้างความผิดหวังให้กับแฟนเพลง โดยเฉพาะใน แฟนๆ ญี่ปุ่น ใน ปี 2009 ทางวง Mr.BIG ก็ประกาศว่า จะกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อ ฉลอง 20 ปี ของ Mr.BIG นับจากอัลบั้มแรกเพื่อออกทัวร์ร่วมกัน โดยเริ่มจาก 6 คอนเสิร์ต ในญี่ปุ่น และทั้ง 6 คอนเสิร์ต ขายหมดภายในไม่กี่นาทีหลังจากเปิดขายบัตร พวกเขามี Asia Tour รวมถึงประเทศไทย ซึ่งจะมาเปิดการแสดงสด ในวันที่ 16 ตุลาคม 2009 นี้
คณะ MR. BIG เพลง TO BE WITH YOU
ข้อมูลจาก http://www.thaiticketmajor.com/concert/mr_big.php

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ตำนานดนตรี โปรแกรสซีฟร็อค (Progressive Rock)

ตำนานดนตรี โปรแกรสซีฟร็อค Progress Rock



พิงก์ พลอยด์ (Pink Floyd)

วงดนตรีวงนี้ถือกำเนิดขึ้นจากประเทศอังกฤษ ณ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ สมาชิกรุ่นดั้งเดิมประกอบด้วย Syd Barrett นักศึกษาคณะศิลปกรรม ซึ่งทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์ ร้องนำ และเขียนเพลง Roger Waters นักศึกษาคณะสถาปัตย์ ทำหน้าที่เป็นมือเบส Nick Mason นักศึกษาสถาปัตย์ ทำหน้าที่เป็นมือกลอง และ Rick Wright นักศึกษาสถาปัตย์เช่นกัน ทำหน้าที่มือคีย์บอร์ด
Pink Floyd เป็นวงดนตรีที่มีวิวัฒนาการทางดนตรียาวนานถึง 30 กว่าปี แนวเพลง ซึ่งพัฒนาเรื่อยๆ ทั้ง Psychidelics ,Syphonic Rock , Progressive Rock , Art Rock จงไปถึง Serious Music และผู้นำของวงในแต่ละยุคซึ่งแตกต่างกันไป ภายหลัง Syd Barrett ได้ออกจากวงไป โดยได้ David Gilmour มาทำหน้าที่เป็นมือกีตาร์แทน Rick Wright ได้ถูกไล่ออกจากวงในช่วง ทำอัลบั้มชุด The Wall และได้กลับเข้าวงใหม่ในช่วงอัลบั้ม A Momentary Lapse Of Reason และภายหลังทำอัลบั้ม The Final Cut ในปี ค.ศ. 1983 Roger Waters ก็ประกาศลาออกจากวง จึงทำให้วงเหลือสมาชิกเพียงแค่ 3 คน คือ David Gilmour,Nick Mason, Rick Wright
พิงก์ พลอยด์ (Pink Floyd) เป็นวงดนตรี ร็อค จากประเทศอังกฤษ ที่ประสบความสำเร็จ และมีอิทธิพลต่อวงการดนตรีร็อกมากที่สุดวงหนึ่ง มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกถึง 250 ล้านชุด ยอดขายเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 73.5 ล้านชุด อัลบั้ม The Dark Side of the Moon ของทางวง ติดอันดับ 1 ใน 200 อันดับแรกของนิตยสารบิลบอร์ด เนื่องนานถึง 741 สัปดาห์ หรือ 15 ปี ระหว่าง ค.ศ.1973-1988 สถิติยาวนานที่สุดและสามารถสร้างสถิติในอังกฤษด้วยการอยู่บนชาร์ทได้นาน 301 สัปดาห์ ถึงแม้จะขึ้นสูงสุดที่
อันดับ 2


******************************************************************

เจเนซิส (Genesis) เป็นวงดนตรีร็อก จากอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2510 โดยในระยะแรกเล่นในแนวป็อปร็อก ต่อมาในช่วงทศวรรษ 1970 วงเริ่มเปลี่ยนแนวไปเป็น โปรเกรสซีฟร็อก มีโครงสร้างทางดนตรีที่ซับซ้อนขึ้น เน้นการประสานเสียงทางดนตรีมากขึ้น
จนถึงปัจจุบัน เจเนซิส มียอดขายอัลบั้มรวมทั้งสิ้นประมาณ 150 ล้านชุด ติดอันดับ 1 ใน 30 ศิลปินที่มียอดขายสูงสุด


*****************************************************************************

เยส (Yes) เป็นวงดนตรีร็อกจากลอนดอน ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 สมาชิกรุ่นก่อตั้งคือ จอน แอนเดอร์สัน และคริส สไควร์ มีชื่อเสียงเป็นวงดนตรีที่มีโครงสร้างดนตรีซับซ้อน โดยได้อิทธิพลมาจากดนตรีคลาสสิก และมีเสียงร้องที่เป็นเอกลักษณ์ของ จอน แอนเดอร์สัน ในปี ค.ศ.1983 ทางวงออกอัลบั้ม 90125 เปลี่ยนแนวทางดนตรีไปจากเดิม ไปเป็นดนตรีป๊อป เพลง Owner Of A Lonely Heart ซึ่งมีจังหวะดิสโก้ ขึ้นถึงอันดับหนึ่งในสหรัฐอเมริกา จัดอันดับโดยนิตยสารบิลบอร์ด หน้าปกอัลบั้มของวงเยส เป็นภาพกราฟิกที่มีความงดงาม ออกแบบโดย Roger Dean ตั้งแต่อัลบั้มที่ 4 Fragile เป็นต้นมา สมาชิกของวงประกอบด้วย สตีฟ ฮาว, อลัน ไวท์, จอน แอนเดอร์สัน, คริส สไควร์ และริก เวกแมน

*************************************************************************



คิง คริมสัน (King Crimson) เป็นวงดนตรีร็อก จากอังกฤษ ก่อตั้งเมื่อปี 2512 โดยมือกีตาร์ โรเบิร์ต ฟริปป์ และมือกลอง ไมเคิล ไจล์ส ชื่อวงตั้งขึ้นโดย ปีเตอร์ ซินฟิลด์ มีความหมายว่า Ba‘al Zebûb (ภาษาอาหรับ หมายความว่า 'Lord of Zebûb' หรือ 'เจ้าชายปิศาจ') ดนตรีของคิง คริมสัน จัดเป็นประเภท โปรเกรสซีฟร็อก ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากดนตรีหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นแจ๊ส,คลาสลิก,ไซคีเดลิก,เฮฟวีเมทัล หรือโฟล์ก เป็นต้นแบบของวงดนตรีร็อกรุ่นหลังหลายวง อาทิ เนอร์วานา,ไนน์ อินช์ เนล


คิง คริมสัน เปิดตัวครั้งแรกในการแสดงสดเมื่อวันที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2512 ต่อมาได้แสดงฟรีคอนเสิร์ตที่สวนสาธารณะไฮด์ปาร์ก ลอนดอน ในเดือนกรกฎาคม ต่อหน้าผู้ชม 650,000 คน และวางตลาดอัลบั้มแรก In the Court of the Crimson King ในเดือนตุลาคม อัลบั้มนี้ได้รับคำชื่นชมจาก พีท ทาว์นเซนต์ แห่งวงเดอะฮู ว่าเป็นผลงานชิ้นเยี่ยม ภาพหน้าปกอัลบั้ม In the Court of the Crimson King ออกแบบโดย Barry Godber (1946–1970) ศิลปินและคอมพิวเตอร์โปรแกรมเมอร์ ซึ่งเสียชีวิตด้วยอาการหัวใจวาย หลังจากอัลบั้มออกวางจำหน่ายไม่นาน อัลบั้มนี้เป็นที่นิยมของนักสะสม และถูกกล่าวถึงในมังงะ ของ โอโตโมะ คัทสุฮิโร (ผู้เขียนอะกิระ) เรื่อง Hair ตีพิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร Young Comic ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2522 โดยสำนักพิมพ์ Shonen Goho-Sha สมาชิกปัจจุบัน ประกอบด้วย โรเบิร์ต ฟริปป์ ,เอเดรียน บีลิว,โทนี เลวิน,แพท มาสเทลลอตโต

*************************************************************************

สถานีวิทยุชุมชนนครสวรรค์ตก จังหวัดนครสวรรค์ HAPPY RADIO FM 89.5 MHZ. เป็นสถานีวิทยุชุนชนในจังหวัดนครสวรรค์ คลื่นเดียวในตอนนี้ที่เปิดเพลงสากลตลอดทั้งวัน หลากหลายแนว เช่น ROCK ,POP,DANCE,HIP HOP,JAZZ ,COUNTRY ,R&B ทั้งเพลงเก่าและเพลงใหม่ล่าสุดจาก USA & UK โทรศัพท์ 056-330582 e-mail : happyradio_2552@hotmail.com สนใจเข้าชม Blog ที่ nakhonsawantokradio.blogspot.com

วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ Kyu Sakamoto


Kyu Sakamoto (Sakamoto Kyuในญี่ปุ่น) เกิดเมื่อวันที่10 พฤศจิกายนพ.ศ. 2484 เกิดที่จังหวัดคาวาซากิ ในเขตคันนากาวา มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน เขามีชื่อเล่นว่า "Kyu" ซึ่งแปลว่า เก้า เป็นนักร้องที่โด่งดังมากจากเพลง Ue wo muite arukou หรือในชื่อที่ถูกนำมาร้องใน Version ภาษาอังกฤษว่า Sukiyaki. Kyu-chan เป็นชื่อเล่นของเขา เขามีความจริงใจและยิ้มมีเสน่ห์ (คนรูปร่างเล็กที่อ่อนโยน) วางแผงที่ญี่ปุ่นในพ.ศ. 2504 ภายหลังนั้นก็วางแผงที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพ.ศ. 2506 ในวันที่15 มิถุนายน พ.ศ. 2506 ก็กลายเป็นเพลงนี้ที่เป็นที่นิยมเป็นอันดับ 1 ใน Billboard Chart และเขาได้แต่งงานกับนักแสดงหญิงที่ชื่อว่า Meiko Nakamura Kyu Sakamoto เสียชีวิตในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2528 ในขณะที่เขาอายุได้ 43 ปี เขาได้โดยสารเครื่องบินโบอิ้ง 747 ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ JAL 123 แล้ว เครื่องบินที่เขาโดยสารได้ตก ห่างจากกรุงโตเกียวในทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 96 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิต 520 คน และเขาก็เสียชีวิตด้วย แม้ว่า Kyu Sakamoto จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เพลงของเขายังคงเป็นที่นิยมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ เอลวิส เพลสลี่ย์ (Elvis Presley)


เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) มีชื่อจริงว่า เอลวิส แอรอน เพรสลีย์ มีฉายาว่า “ราชาแห่งร็อกแอนด์โรลล์” เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2478 เป็นชาวมลรัฐมิสซิสซิปปี้ ได้รับอิทธิพลการขับร้องเพลงมาจากการร้องเพลงในโบสถ์ และนักร้องบลูส์ผิวสี ในปี 2496 เอลวิส ซึ่งทำงานในร้านเครื่องจัก ปาร์เกอร์ ในช่วงพักกลางวันเขาได้เข้างไปห้องบันทึกเสียงเพื่อบันทึกแผ่นเสียงเป็นของขวัญให้กับแม่ เป็นเพลง My Happiness และ That’s When Your Heartaches Begin ซึ่งขณะนั้นเจ้าของร้าน แซม ฟิลลิปส์ และเจ้าของบริษัทแผ่นเสียง ซัน กำลังหานักร้องเพลงอาร์แอนด์บี และนั่นคือจุดเริ่มต้นชีวิตนักร้องของเอลวิส
เอลวิส เข้าสังกัต ซันเรคคอร์ด และตั้งวงดนตรี ชื่อ ควอร์เต็ดล้านดอลล่าร์ เริ่มดังในตอนใต้ของอเมริกา ภายหลังได้เซ็นสัญญากับ บริษัท อาร์ซีเอ วิกเตอร์ และในปี 2498 มีผลงานเพลงของเขาเอง และกลายเป็นอัลบั้มแผ่นเสียงชุดแรกของเอลวิส ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วประเทศ ที่มียอดขายเกินกว่า 1 ล้านแผ่น และได้ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนต์ ในปี 2499 เรื่อง เลิฟ มีเทนเดอร์ ซึ่งทำให้คนทั่วโลกรู้จักเขามากยิ่งขึ้น และเป็นช่วงที่เอลวิสโด่งดังสุดขีด
เป็นนักร้องชาวอเมริกันมีเพลงดังมากมาย เช่น Heartbreak hotel,Blue Suede shoe เป็นต้น รวมทั้งการเป็นนักแสดงภาพยนต์ มีเรื่องฮิต เช่น Love Me Tender ,จีไอ บลูส์ และบลูฮาวาย ที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จนยากที่จะหาใครเทียบได้ ในช่วงเวลานั้นเอง เขาได้อำลาวงการเพื่อเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ในปี 2501 เป็นพลขับของกองทัพบกประจำการที่ประเทศเยอรมัน เป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากปลดประจำการ เอลวิส เข้าสู่วงการอีกครั้ง และได้รับการต้อนรับอย่างดี อัลบั้มเพลงในภาพยนต์ เรื่อง จีไอ บลูส์ ขึ้นอันดับ 1 ของบิลบอร์ด 10 สัปดาห์ติดต่อกัน ในช่วงนี้เองเป็นช่วงที่เขาประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งภาพยนต์ และอัลบั้มเพลง ในปี 2510 เอลวิส ได้ออกอัลบั้มเพลง กอสเปล ชุดที่ 2 ชื่อว่า ฮาว เกรต เทา อาร์ต (How Great Thou Art) ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมี่เป็นครั้งแรก
ในปี 2516 เอลวิสประสบปัญหาเรื่องสุขภาพ เคยถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยโรงปอดบวม โรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ นอกจากต้องต่อสู้กับโรค ที่สะสมมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ยังต้องต่อสู้กับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังตระเวนเปิดการแสดงตามคำเรียกร้องของแฟนเพลงตามเมืองต่างๆ อยู่เสมอ
***ในวันที่ 16 สิงหาคม 2520 หลังเที่ยงคืน หลังจากที่เอลวิสไปพบทันตแพทย์ในช่วงเช้า แฟนสาวของเขาก็พบเอลวิสนอนหมดสติอยู่ภายในห้องน้ำ ซึ่งเป็นการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ที่ คฤหาสน์เกรสแลนด์ของเข้าเองด้วยวัยเพียง 42 ปี

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติศิลปิน Akon


หลัง จากเอาชนะใจบรรดาแฟนเพลงด้วยอัลบั้มเปิดตัว Trouble ในปี 2003 ที่ได้รับแผ่นเสียงทองคำขาวนับไม่ถ้วน นักร้องหนุ่มชาวเซเนกัลก็กลับมาพร้อมเรื่องราวจากประสบการณ์ที่มากขึ้นกว่า เดิมซึ่งอัดแน่นอยู่ในอัลบั้มชุดที่สองของเขา Konvicted ถ้าอัลบั้ม Trouble คือบทกวีแห่งการไถ่บาปของ เอค่อน Akon (ก่อนจะเริ่มอาชีพบนถนนสายดนตรี เขาเคยติดคุกในข้อหาขโมยรถมาก่อน) อัลบั้ม Konvicted ก็น่าจะเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งของเขา ตอนนี้ภารกิจของเขาคือปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ผ่านทางดนตรีแห่งการพ้นทุกข์

แม้ ซิงเกิ้ลฮิต "Locked Up" จะสร้างชื่อเสียงให้เขา แต่ความเฉียบคมที่เต็มเปี่ยมด้วยความหลากหลายกลับปรากฏเด่นชัดอยู่ในอัลบั้ม ชุดที่สองของเขา ในอัลบั้ม Konvicted เขาได้โปรดิวซ์และแต่งเพลง 11 เพลงจากทั้งหมด 12 เพลง อัลบั้มชุดนี้มีบทเพลงที่เขาได้บันทึกเสียงร่วมกับศิลปินชื่อดังอย่าง Eminem (อยู่ในซิงเกิ้ลแรก "Smack That"), Snoop Dogg (ในเพลง "I Want to Love You") และกับ Styles P. (ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียงซิงเกิ้ลฮิตเพลงแรก "Locked Up" ให้ เอค่อน Akon) อัลบั้ม Konvicted คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างดนตรีข้างถนน ความคิดริเริ่มในห้องอัดและความรู้รอบตัวเพื่อสร้างสรรค์หนึ่งในอัลบั้มที่ จริงใจที่สุดของปี 2006

"Smack That" คือเพลงบ้าระห่ำเต็มเปี่ยมด้วยพลังที่มีองค์ประกอบของเพลงเต้นรำในคลับอยู่ อย่างครบถ้วน แถมยังได้เนื้อเพลงบาดหูจากเจ้าพ่อเพลงแร็พ Eminem มาเสริมทัพให้มันส์ขึ้นไปอีก เอค่อน Akon ได้เจอกับ Eminem ไม่นานหลังร่วมงานกับ Obie Trice ในเพลง "Snitch" ทั้งสองคนกลายเป็นเพื่อนกันในเวลาที่รวดเร็ว "ผมรู้ทันทีว่าอยากได้ Eminem มาร่วมร้องในเพลงนี้ แต่เขาระวังตัวมากกับการไปปรากฎตัวบ่อยเกินไปในเพลงของคนอื่น ตอนที่เขาโทรมาบอกว่าพร้อมจะเข้าห้องอัดแล้ว ผมรู้ว่าผมโชคดีสุดๆ ผมรีบนั่งเครื่องบินไฟท์แรกไปดีทรอยต์ทันที" เอค่อน Akon กล่าว

อีก หนึ่งบทเพลงที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือเพลงต่อต้านแก๊งอันธพาลอย่างเพลง "Runnin'" เพลงนี้มาจากการที่เขาหวนระลึกถึงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Super Fly ของตำนานเพลงโซล Curtis Mayfield ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจริงใจ เขานึกถึงการดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ เมื่อเขาร้องว่า "ผมเบื่อที่ต้องคอยวิ่งหนีกฎหมาย" น่าขันที่เพลงสุดแสนไพเราะนี้ถูกแต่งขึ้นมาในขณะที่ Akon ยังติดคุกอยู่ "นี่คือเพลงที่คุณสัมผัสได้เพราะมันคือเรื่องจริง" เอค่อน Akon กล่าวเปิดใจ "ผมหมายความตามคำพูดที่ร้องออกมาทุกคำ"

ด้วย การทำงานที่เจริญรอยตามแนวทางของศิลปินรุ่นบุกเบิกอย่าง R. Kelly เขาได้เปลี่ยนจากการเล่าเรื่องที่ดิบเถื่อนมาสู่เพลงแดนซ์เขย่าฟลอร์และเพลง บัลลาดที่สร้างแรงดลใจให้ผู้คนด้วยท่อนเพลงร้องผสมแร็พที่เฉียบคม นอกจากนี้ เอค่อน Akon ได้ทำ หน้าที่ร้องประสานในเพลงของตัวเองอีกด้วย "ผมไม่ได้มีเป้าหมายที่จะยกย่องเชิดชูชีวิตในด้านมืด แต่แก๊งอันธพาลก็เป็นคนเหมือนกัน พวกเขามีครอบครัว มีลูก ผมพยายามชี้ให้เห็นว่าในด้านมืดนั้นก็ยังมีด้านสว่างอยู่ ผมห้ามให้ใครทำอะไรไม่ได้ แต่ผมเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาได้"

ในขณะที่เนื้อเพลงของ เอค่อน Akon ยังคงเข้มข้นไม่เปลี่ยน เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่ามีความคิดสร้างสรรค์ในด้านการผลิตผลงาน เขาไม่กลัวที่จะใส่กลิ่นไอเพลงป๊อปอย่างเสียงเปียโนและไวโอลินลงไป ดังจะเห็นได้จากเพลงบัลลาดหลอนหูสุดเลิศ "Never Took the Time" "เวลาแต่งเพลง ผมพยายามทำดนตรีที่ฉีกแนวไปจากตัวเอง" เอค่อน Akon เผยที่มาให้ฟัง "ในวงการดนตรีตอนนี้ โปรดิวเซอร์มีหน้าที่ผลักดันให้เกิดสไตล์เพลงที่หลากหลาย"

จาก การทำงานในสตูดิโอของเขาเองที่แอตแลนต้า เพลงที่น่าจะเป็นเพชรน้ำเอกของอัลบั้ม Konvicted คือเพลงที่ทรงพลังอย่าง "Africa" ด้วยทำนองเพลงที่มีเสียงเพอร์คัสชั่นอันหนักหน่วงที่อุทิศให้บ้านเกิดของเขา เนื้อเพลงที่เขาแต่งกล่าวถึงประเด็นมากมายที่เขาเคยหยิบยกขึ้นมาพูด ตั้งแต่เรื่องการใช้แรงงานทาสไปจนถึงการแบ่งแยกสีผิว "เป้าหมายหนึ่งที่ผมแต่งเพลง "Africa" ขึ้นมาก็เพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของทวีปแอฟริกา" เอค่อน Akon กล่าว

ด้วยความยอดเยี่ยมของอัลบั้ม Konvicted ผู้ที่เป็นทั้งเจ้าของค่ายเพลง นักร้อง นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์อย่าง เอค่อน Akon ได้ทลายกำแพงแห่งเสียงดนตรีลง พร้อมกับแสดงให้ทุกคนประจักษ์ถึงความสำคัญของเขาในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณใน สหัสวรรษใหม่ อัลบั้ม Konvicted จึงเป็นเหมือนไวน์ชั้นดีที่พิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งเวลาผ่านพ้นไป ฝีมือการทำงานของ Akon ก็ยิ่งจัดจ้านขึ้นเรื่อยๆ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติวง Led Zeppelin



กำเนิด Led Zeppelin
หลังจากได้ร่วมทำงานในอัลบั้มสุดท้าย ก่อนที่ The Yardbirds จะสลายวงในปี 1967 จิมมี่ เพจ (Jimmy Page) มือกีตาร์ของวงก็ต้องกลับไปเป็น “มือปืนรับจ้าง” ใน ห้องบันทึกเสียงเหมือนอย่างเก่า แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มฟอร์มวงขึ้น มา โดยชักชวนพรรคพวกที่เป็นนักดนตรีรับจ้างด้วยกันคือ จอห์น พอล โจนส์ (John Paul Jones) มือเบสส์ กับเทอร์รี่ เรลด์ (Terry Reld) นัก ร้อง และบี.เจ. วิลสัน (B.J. Wilson) มือกลองของวง Procol Harum เข้าร่วมฟอร์มวง

แต่ทั้งเทอร์รี่ เรลด์ และบี.เจ. วิลสัน กลับปฏิเสธ...อย่างไรก็ตามเทอร์รี่ เรลด์ได้แนะนำและติดต่อ โรเบิร์ต แพนท์ (Robert Plant) นักร้องของวง Hobbstweedle ให้ เข้ามาแทน ซึ่งทั้งสองก็ศรศิลป์กินกัน เพราะจิมมี่ เพจ ชื่นชอบในเสียงร้อง ของโรเบิร์ต แพลนท์ ตั้งแต่หนแรกที่ได้ยิน ส่วนตัวของโรเบิร์ต แพลนท์เองก็ ไม่ปฏิเสธ เพราะคุ้นเคยกับฝีมือและชื่อเสียงของจิมมี่ เพจ สมัยอยู่กับวง The Yardbirds เป็นอย่างดี และเมื่อรู้ว่ายังขาดมือกลองอยู่ โรเบิร์ต แพลนท์ ก็แนะนำจอห์น บอนแฮม (John Bonham) มือกลองวงเก่าของตัวเองคือ Band of Joy ให้ จิมมี่ เพจได้พิจารณา และเมื่อได้เห็นฝีมือหวดกลองของจอห์น บอนแฮม ทางจิ มมี่ เพจก็ไม่รอช้ารีบชักชวนให้เข้ามาร่วมวงทันที ซึ่งจอห์น บอนแฮมก็ไม่ ปฏิเสธเช่นกัน


ดังนั้นในเดือนกันยายน ปี 1968 ทั้ง 4 คนจึงได้เปิดตัววงใหม่ ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า New Yardbirds

ด้วยที่แต่ละคนก็มีฝีมือ และผ่านสังเวียนดนตรีมามากพอ เพราะฉะนั้นพอตั้งวงกันได้พวกเขาก็เดินเข้า ห้องอัดเสียงทันที และพอบันทึกเสียงเสร็จพวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าให้ เปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น Led Zeppelin รวมทั้งใช้ชื่ออัลบั้มว่า Led Zeppelin I...อัลบั้ม ชุดนี้ออกวางในปี 1969 และออกวางได้เพียงเดือนเศษก็สามารถไต่อันดับขึ้นไป ถึงอันดับ Top 10 ของอเมริกาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อประสบกับความสำเร็จที่ เกินคาด Led Zeppelin ใช้เวลาตลอดทั้งปี 1969 ที่เหลือหมดไปกับการทัวร์ คอนเสิร์ต และพร้อมกับทำงานชุดที่ 2 Led Zeppelin II ควบ คู่กันไปด้วย

และในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน( ปี 1969) อัลบั้ม Led Zeppelin II ก็ ออกวางตลาด และก็เหมือนกับอัลบั้มแรก คือประสบกับความสำเร็จอ่างท่วมท้นเช่น เดียวกัน รวมทั้งสามารถไต่อันดับชาร์ทขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ในเวลา เพียง 7 สัปดาห์



ในปี
1970 อัลบั้มชุดที่ 3 Led Zeppelin III ก็ตามออกมาติดๆ และในอัลบั้มชุดนี้ทางวงก็ได้นำ British Folk เข้ามาผสม

ในปี 1971 มีอัลบั้มชุดที่ 4 Led Zeppelin IV ที่ออกวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 1971 เพลงในชุดนี้แม้จะคงความเป็นร็อคที่จัดจ้านและหนักหน่วงอย่างเพลง Black Dog ที่ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล


แต่ในเพลงอื่นๆก็ยังผสม Folk เข้าไปไว้อย่างสวยงามอย่างเช่น The Battle of Evermore หรืออย่างเพลง Stairway to Heaven ก็ มีเนื้อหาที่กินใจและทำนองที่ไพเราะ และได้รับความนิยมมากกว่า เพลง Black Dog ที่ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลเสียอีก และอัลบั้มชุดนี้ประสบความ สำเร็จอย่างสูง เพราะสามารถขายได้ถึง 16 ล้านแผ่น



ในปี 1973 อัลบั้มชุดที่ 5 House of the Holy ก็ ตามออกมาด้วยสีสันของดนตรีที่มี Funk และ Reggae เข้ามาผสมโดยอยู่ภายใต้ โครงสร้างของร็อคหนักๆเช่นเดิม ในปีนี้พวกเขาได้แสดงคอนเสิร์ตที่เมดิ สัน สแคว์ การ์เดน และการแสดงครั้งนี้ได้ถูกบันทึกเป็นภาพยนตร์โดยใช้ชื่อ ว่า The Song Remains the Same และนำออกมาฉายในอีก 3 ปีให้หลัง รวมทั้งได้ทรานเฟอร์มาเป็นแผ่นดีวีดีในอีกหลายๆปีต่อมา



ในปี
1974 พวก เขาไม่มีงานทัวร์คอนเสิร์ต และงานเพลงในสตูดืโอออกมา เพราะพวกเขาไปหมกมุ่น อยู่กับการเปิดสังกัด Swan Song ของตัวเองขึ้นมา เพื่อผลิตงานของตัวเองรวม ทั้งรับวงดนตรีที่อยู่ในแวดวงของร็อคด้วยกัน อาทิ เช่น Bad Company, Pretty Things และ Dave Edmund เข้ามาอยู่ในสังกัด...

ใน ปี 1975 พวกเขาก็ออกอัลบั้มชุดที่ 6 ออกมาเป็นอัลบั้มคู่ชื่อ Physical Graffiti ซึ่ง ก็ได้รับความสำเร็จด้วยดีเหมือนกับอัลบั้มก่อนๆที่ผ่านมา และสามารถติดชาร์ททั้งในอเมริกาและอังกฤษในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้พวกเขาต้องกำหนด
ตาราง ทัวร์คอนเสิร์ตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นมา เมื่อ โรเบิร์ต แพลนท์และภรรยาประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ โรเบิร์ต แพ ลนท์เดี้ยงยาว ต้องหยุดพักรักษาตัว ตารางทัวร์คอนเสิร์ตก็ต้องล้มเลิกไปโดย ปริยาย



จนถึงปี 1976 Led Zeppelin ก็กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม Presence ซึ่งก็ถูกตอบรับอย่างดีจากสาวกของพวกเขา แต่กับกระแสวิจารณ์ไม่มีใครพูดถึง กันมากนัก สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากอัลบั้มชุดนี้ออกขายพร้อมๆกับการออกฉายของ ภาพยนตร์ The Song Remains the Same ที่น่าสนใจกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ทำ ให้ยอดขายของอัลบั้มชุดนี้ตกลงแต่อย่างใด รวมทั้งยังติดอันดับชาร์ทเหมือนกับทุกอัลบั้มที่ผ่านมา...หลังจากอัลบั้ม ชุด Presence ออกวางจำหน่ายได้ไม่นาน ตารางการทัวร์คอนเสิร์ตของทางวงก็ถูก กำหนดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อการทัวร์คอนเสิร์ตเริ่มได้เพียง 2 เดือน เหตุการณ์ ร้ายที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับ โรเบิร์ต แพลนท์เข้าอีกจนได้ คราวนี้บุตรชาย อายุ 6 ขวบของเขาเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อในกระเพาะอาหาร โรเบิร์ต แพลนท์ ไม่มีจิตใจที่จะร่วมแสดงคอนเสิร์ตที่เหลือได้อีกต่อไป ทำให้ทางวง ต้องยกเลิกการทัวร์คอนเสิร์ตที่เหลือไปโดยปริยาย...โรเบิร์ต แพลนท์แยกตัว จากวงไปอยู่อย่างสันโดษ เพื่อลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ส่วน สมาชิกอื่นๆของวงก็เก็บตัวกันเงียบ ไม่มีข่าวคราวทางด้านดนตรีออกมาเลย

จนกระทั่งปี 1978 พวก เขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง รวมทั้งได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตเล็กๆใน ยุโรป ก่อนจะกลับเข้ามาในสตูดิโอเพื่อทำงานชุดใหม่หรือชุดที่ 8 ชื่อ In Througe the Out Door ออกวางจำหน่ายในปี 1979 และประสบกับความสำเร็จเช่นเดิม รวมทั้งขึ้นไปอยู่ อันดับ 1 ทั้งในอเมริกาและยุโรป...จากความสำเร็จของอัลบั้มชุดนี้ และการ ห่างเหินจากการทัวร์คอนเสิร์ตใหญ่ๆมานาน พวกเขาก็วางโปรแกรมที่จะออกทัวร์ คอนเสิร์ตกันอีกหน คราวนี้ออกทัวร์กันยาวนานหน่อย โดยวางแผนไว้ว่าจะสิ้นสุด การทัวร์ในเดือนพฤษภาคม ปี 1980 กันโน่นเลย ในขณะเดียวกันก็เริ่มวางแผนที่จะทำอัลบั้มชุดใหม่ควบคู่กันไปด้วย แต่ แล้วเหตุการณ์ณ์ร้ายแรงที่ไม่คาดฝันก็เกิดกับพวกเขาจนได้ คราวนี้ค่อนข้าง สาหัสสากรรจ์หน่อย เพราะเกิดกับสมาชิกของวงเอง โดยในเช้าของวันที่ 25 กันยายน 1979 มี คนพบศพจอห์น บอนแฮม มือกลองเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง และแพทย์ที่มา ชันสูตรศพก็ระบุว่าจอห์น บอนแฮมเสียชีวิตเนื่องจากสำลักอาเจียนของตัวเอง เพราะในระยะหลังๆจอห์น บอนแฮมดื่มเหล้าจัดมาก...เมื่อขาดมือกลองทางวงก็ ได้ปรึกษาหารือกัน และสรุปว่าจะไม่หามือกลองคนใหม่มาแทนจอห์น บอนแฮม

ดังนั้นในเดือนธันวาคม ปี 1979 ทาง วง Led Zeppelin ก็ออกมาแถลงขอยุบวงอย่างเป็นทางการ เป็นการปิดฉากและตำนาน อันยิ่งใหญ่ของวงฮาร์ด ร็อคก้องโลก ที่ตั้งแต่เริ่มวงจนถึงประกาศเลิกวง ไม่ มีการเปลี่ยนหรือเพิ่มสมาชิกเข้ามาในวงแม้แต่คนเดียว

บทเพลง Stairway to Heaven ผลงานของ Led Zeppelin

!

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ มาดอนน่า (MADONNA)


มาดอนน่า หลุยส์ เวอโรนิก้า ซิกโคน (อังกฤษ: Madonna Louise Veronica Ciccone) (เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2501) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ มาดอนน่า เป็นนักร้องสาวแนวเพลงป๊อปชาวอเมริกันนอกจากความสามารถด้านการร้องเพลงแล้ว มาดอนน่ายังเป็นนักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์ และนักแสดงอีกด้วย
** ในปี 1977 เธอย้ายจากบ้านเกิดที่เบย์ซิตี้ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้วยเงินติดตัวเพียง 35 ดอลล่าร์ เธอบอกให้แท็กซี่พาเธอไปที่ ที่เป็นใจกลางของทุกสิ่ง จนเธอได้มาทำงานในร้านดังกิ้นโดนัทใน นิวยอร์ก ด้วยความหวังที่ว่า สักวันนึงเธอจะต้องดังให้ได้ เธอตะเกียกตะกายมาเรื่อยๆ

**จนกระทั่งปี 1979 เธอได้งานเป็นนักแสดงในคณะ ละครเสียดสีสังคม ในช่วงนั้นเธอได้รู้จักกับแดน กิลรอย (Dan Gilroy) ต่อจากนั้นไม่นานนัก ทั้งสองตัดสินใจคบกัน ในฐานะคนรัก และได้ฟอร์มวงดนตรีขึ้นมา ชื่อว่า เดอะ เบรกฟาสต์ คลับ (The Breakfast Club) เริ่มแรกมาดอนน่าเล่น กลองและในเวลาต่อมาเธอก็ได้เป็นนักร้องนำ จนกระทั่งเธอกับแฟนเก่า สตีเฟ่น เบรย์ (Stephen Bray) ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อว่าเอ็มมี่ (Emmy) แต่ด้วยความที่อยาก ออกอัลบั้ม มาดอนน่าและเบรย์จึงได้ลาออกจากวง และได้ทำเทปเดโมส่งไปให้มาร์ค คามินส์ (Mark Kamins) โปรดิวเซอร์ และดีเจ จนได้เซ็นสัญญากับไซร์ เรคคอร์ด (Sire Records) เป็นนักร้องเดี่ยว โดยมีซิงเกิลแรกคือ Everybody ที่ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 3 ใน Billboard Dance Chart แล้วซิงเกิล Burning Up ก็ตามมาตอกย้ำความฮอท

จนเธอได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อของตัวเองเป็นชื่ออัลบั้ม เพลง Holiday เป็นเพลงแรกของเธอ ที่เข้าชาร์ท Billboard Hot100 จากนั้นมาเธอก็มีเพลงดังมาเรื่อยๆอย่าง Borderline และ Lucky Star ร่วมปูทางในเส้นทางสายดนตรีให้เธอได้อย่างสวยงาม

อัลบั้มที่สอง Like A Virgin เธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นสาวเซ็กซี่ตามสไตล์มาริลีน มอนโร อัลบั้มนี้มีเพลงสร้างชื่ออย่างเช่น Like A Virgin, Material Girl, Dress You Up และ Angel และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือโชว์ Like A Virgin สุดหวือหวาในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ปี 1984 (MTV Video Music Awards 1984) เธอใส่ชุดเจ้าสาวเดินควงตุ๊กตาเจ้าบ่าวตัวเท่าคนจริงเดินลงมาจากเค้กก้อนยักษ์ แล้ว กลิ้งไปมาด้วยลีลาเย้ายวนเธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ มาดอนน่าสร้างสถิติอีกครั้งด้วยการพาเพลง Like A Virgin ขึ้นอันดับ 1 ยาวนานถึง 6 สัปดาห์ จนทำให้เธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังไปร้อง เพลง Crazy For You ประกอบภาพยนตร์วิชั่น เควส (Vision Quest) ที่ดังจนซิงเกิลการกุศล รวมนักร้องดังของยุคอย่าง We Are The World ต้องยอมลงจากที่ 1 เชียว เธอได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการ ภาพยนตร์อย่างจริงจังจากการได้รับบทนำใน Desperately Seeking Susan

และช่วงนั้นเองนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ เมื่อหนังโป๊ต้นทุนต่ำของเธอเรื่อง A Certain Sacrifice ซึ่งเธอถ่ายไว้เมื่อก่อนเข้าวงการถูกออกฉาย เท่านั้นยังไม่พอหนังสือเพลย์บอยและ เพนท์เฮาส์ต่างพากันลงรูปโป๊ของเธอที่เคยถ่ายไว้ก่อนเข้าวงการ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความนิยมของเธอลดน้อยลงเลย กลับกันเด็กสาวต่างพากันแต่งตัวเซ็กซี่ตามมาดอนน่า เธอแต่งงานครั้งแรกกับดาราหนุ่มชอณ เพนน์ (Sean Penn) มีหนังที่เล่นด้วยกันอย่างเรื่อง Shanghai Surprise แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า..

เส้นทางในวงการเพลงของเธอเดินทางอย่างราบรื่น เธอมีเพลงอันดับ 1 อย่าง Live to Tell, Papa Don't Preach และ Open Your Heart จากอัลบั้ม True Blue ที่ขายได้ ถึง 22 ล้านก๊อปปี้ อัลบั้มนี้เธอตั้งใจจะอุทิศให้สามี ในทางตรงกันข้ามชีวิตคู่ของเธอต้องจบลง เมื่อเธอ และ Penn ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน Papa Don't Preach หรือ พ่อจ๋าอย่าบ่น สร้างกระแสฮือฮามากเพราะเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นที่ท้องก่อนเวลาอันควร แต่ก็ยังรั้นจะเก็บลูกไว้

อัลบั้มที่สี่ Like A Prayer วางแผง แน่นอน ต้องมีเพลงฮิตอันดับ 1 ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมีด้วยกันถึง 4 เพลง คือ Like A Prayer, Express Yourself, Cherish และ Keep It Together มิวสิกวิดีโอเพลง Like A Prayer ก็ช็อคแฟนเพลงอีกครั้งด้วยการ นำเรื่องศาสนามาเกี่ยวกับเซ็กส์จนโดนตำหนิจากวาติกันและทำให้เป๊ปซี่ยกเลิกสัญญากับเธอทันที

ในปี 1990 เธอเริ่มต้น Blonde Ambition Tour ที่ยาวนานกินเวลาทั้งปี และมีเพลง Vogue เป็นซิงเกิลฮิตติดอันดับ 1 อีกหนึ่งเพลง ภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy ทำรายได้อย่างงดงาม เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอนับจาก Desperately Seeking Susan
ในปี 1990 เธอเริ่มต้น Blonde Ambition Tour ที่ยาวนานกินเวลาทั้งปี และมีเพลง Vogue เป็นซิงเกิลฮิตติดอันดับ 1 อีกหนึ่งเพลง ภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy ทำรายได้อย่างงดงาม เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอนับจาก Desperately Seeking Susan

The Immaculate Collection อัลบั้มรวมฮิตอันแรกของเธอ มีเพลงเพิ่มมาใหม่สองเพลง หนึ่งในนั้นคือ Justify My Love ที่เธอช็อคแฟนเพลงด้วยเอ็มวีที่แรงที่สุดในชีวิตของเธอ โดยมีฉากสำคัญคือตอนที่มาดอนน่าจูบกับผู้หญิงต่อหน้าแฟนหนุ่ม เอ็มทีวีแบนวีดีโอนี้โดยยกเหตุผล เรื่องความลามกอนาจารในวีดีโอ ที่มีทั้งเซ็กส์แบบชาย-หญิง, ชาย-ชาย, หญิง-หญิง เธอจึงนำเอ็มวีนี้ ใส่วีดีโอออกขาย แถมยังขายได้ถึง 400,000 ม้วนอีกต่างหาก

ในปี 1992 มาดอนน่าออกหนังสือ Sex ที่รวบรวมภาพโป๊ทั้งของตัวเธอเองและคนดังมากมาย หนังสือเล่มนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบและถูกด่าอย่างมาก แฟนๆมาดอนน่าบางคนรับไม่ได้จนถึงขั้นเผา ซีดีเลยก็มี แต่ในด้านยอดขายกลับกลายเป็นหนังสือที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หนังสือทุกเล่มถูกขายหมดภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 ภายในวันนั้นเลย ทางด้านอัลบั้ม Erotica ที่ออกพร้อมๆกับหนังสือเล่มนี้ก็ขายได้ถึง 2 ล้านก๊อปปี้

อัลบั้ม Bedtime Stories ดูเหมือนจะลดภาพความเซ็กซี่ลงจากอัลบั้มก่อน แต่ก็ยังมีเพลงฮิตอย่าง Take A Bow ส่วนเพลง Bedtime Stories และ Human Nature คงเป็นอานิสงส์ จากการที่เธอลดความเซ็กซี่ เพราะสองเพลงนี้กลายเป็นสองเพลงแรกของเธอที่ไปไม่ถึงชาร์ท Top 40

ในปี 1995 เธอเปลี่ยนลุคตัวเองจากสาวเซ็กซี่มาเป็นผู้ใหญ่ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Evita เธอได้ให้กำเนิด ลูกสาวคนแรก Lourdes Maria Ciccone Leon ในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังออกฉายพอดี Evita ทำให้เธอได้รางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก และเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้ง cover ของเพลง Don't Cry for Me Argentina และ You Must Love Me ก็เป็นเพลงฮิตด้วย

3 ปีให้หลังอัลบั้ม Ray of Light เป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในยุคคุณแม่มาดอนน่าที่มีแนวเพลงทันสมัยขึ้น และเปิดตัวอย่างสวยงามที่อันดับ 2 ของชาร์ท

ปี 2000 มาดอนน่ากลับมาพร้อมอัลบั้ม Music และได้คลอดลูกชายคนที่สอง Rocco John Ritchie กับผู้กำกับ ชาวอังกฤษกาย ริทชี่ (Guy Ritchie) หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ได้แต่งงานกันและร่วมกันกำกับมิวสิกวีดีโอ What It Feels Like for A Girl ในปีเดียวกันเธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ James Bond ตอน Die Another Day

ในปีถัดมาเธอออกอัลบั้ม American Life ที่มีเนื้อหาเสียดสีสังคม และเอ็มวีก็เสียดสีจนถูกแบนอีกครั้ง โชว์ Like A Virgin/Hollywood ในงาน MTV Video Music Awards 2003 ที่มาดอนน่าร่วมแสดงกับ บริทนีย์ สเปียร์ส, คริสติน่า อากีเลร่า และ มิสซี่ เอลิออท ก็ช็อคแฟนๆอีกครั้ง เมื่อบริทนี่ย์และคริสติน่าแต่งตัวและแสดงแบบที่มาดอนน่าเคยทำใน เพลง Like A Virgin เมื่อปี 1984 และทั้งคู่ก็จูบปากมาดอนน่าทีละคน ทำเอาจัสติน ทิมเบอร์เลค แฟนเก่าของบริทนี่ย์ มองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก หลังจากนั้นไม่นาน ความสัมพันธ์ระหว่างมาดอนน่ากับบริทนี่ย์เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาดอนน่าร้องเพลงร่วมกับบริทนี่ย์ ในเพลง Me Against The Music

Re-Invention World Tour ของเธอกลายเป็นทัวร์ที่ได้รับคำชมมากมายและกวาดรายได้ มากสุดของปี เธอช็อคแฟนเพลงด้วยการเล่นโยคะเอาขาชี้ฟ้ากลางเวที

และในปี 2005 เธอประสบอุบัติเหตุตกหลังม้าแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการวางแผงอัลบั้มใหม่ Confessions On A Dancefloor อัลบั้มเพลงเปิดตัวด้วยซิงเกิล Hung Up ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 11 ของเธอ

ในปี 2008 มาดอนน่ามีผลงานอัลบั้มชุดที่ 11 ชื่อชุด Hard Candy โดยมีซิงเกิลแรกคือ "กิพว์อิททูมี" (อังกฤษ: Give It 2 Me) , "4 Minutes" ที่ร้องร่วมกับขึ้นอันดับ 3 ในอเมริกา อันดับ 1 ในอังกฤษจัสติน ทิมเบอร์เลค[1]

ประวัติวง ทราวิส (Travis)


วงทราวิส (Travis ) ฟอร์มวงในช่วงกลางปี 90 ที่ Glasgow สกอตแลนด์ โดยวงดั้งเดิมชื่อ the Glass Onion ได้มีการเปลี่ยนสมาชิกไปมา และจนท้ายที่สุดก็มาลงตัวที่ Francis Healy (ฟรานซิส ร้องนำ) Andy Dunlop (แอนดี้ กีตาร์) Neil Primrose (นีล กลอง) และ Dougie Payne (ดักกี้ เบส) และเมื่อสมาชิกทั้งหมดเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะ ทั้งหมดก็ได้เริ่มคิดจริงจังกับศักยภาพของวง และเริ่มออก EP แรกซึ่งมีชื่อว่า All I Wanna Do Is Rock ด้วยเงินที่ได้มาจากการขอเงินแม่มาทำ ผลคือ All I Wanna Do Is Rock เป็นเพลงกีตาร์ง่ายๆ ที่เหมือนกับเรียกได้ว่าเป็นการ Back to Basic ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมหลังจากการดังระเบิดของ Oasis และจริงๆ แล้ว เพลงนี้ทางวงตั้งใจใช้คำว่า Fxxk แทน Rock ด้วยซ้ำ Travis ได้กลายเป็นวงวงแรกที่เซ็นสัญญากับค่ายเพลงน้องใหม่อย่าง Independiente ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นบ้านของศิลปินอย่าง Embrace, Kinesis หรือ Gomez ต่อมาจึงตัดสินใจย้ายไปที่ลอนดอนในปี 1996 พวกเขาเริ่มต้นด้วยการออกซิงเกิลที่ชื่อว่า U-16 Girl ที่เป็นเพลงสนุกๆ และทำให้พวกเขามีแฟนเพลงชื่อดังอย่าง Noel Gallagher มาชวนไปเล่นคอนเสิร์ทด้วย

ในที่สุด พวกเขาก็ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Good Feeling ด้วยการโปรดิวซ์ของ Steve Lilywhite โปรดิวเซอร์คู่บุญของ U2 ในปี 1997 และมีเพลงดังเก่า 2 เพลงข้างต้นรวมอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย นอกจากนี้แล้ว เพลงอื่นๆ เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ทำให้นึกถึงความสนุกแบบที่ The Beatles เคยมอบให้เรามาก่อนอย่าง Tied to the 90' เพลง More Than Us ที่ช้าๆ แต่ซึ้งสุดหัวใจ เรียกได้ว่า Travis ได้จับเอาจุดเด่นๆ ของวงอังกฤษอย่าง The Beatles หรือ Oasis มาผสมผสานจนได้แนวเพลงของตัวเองขึ้นมา และ Good Feeling ได้รับคำชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ทั่วสารทิศ แต่ในแง่ยอดขายแล้ว มันกลับทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

พวกเขาเก็บความผิดหวังเอาไว้กับตัว และมุ่งหน้าเดินสายทัวร์และเริ่มงานอัลบั้มชุดใหม่ โดยหันไปร่วมงานกับ Nigel Godrich โปรดิวเซอร์คู่บุญของวงระดับตำนานอย่าง Radiohead และพวกเขาก็เปิดตัวอัลบั้มนี้ด้วยเพลงช้าๆ เนิบๆ ที่ชื่อ Writing to Reach You ซึ่งต่างไปจากความเป็นร็อกสนุกๆ ของอัลบั้มที่แล้วเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้พวกนักวิจารณ์เริ่มแอนตี้พวกเขา และยิ่งเมื่อพวกเขาออกอัลบั้มเต็มที่ชื่อว่า The Man Who ที่เต็มไปด้วยเพลงช้าๆ กึ่งหดหู่แล้ว ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าให้นักวิจารณ์สับเล่นอย่างสนุกสนาน แต่ด้วยปาฏิหาริย์ที่ Glastonbury ทั้งๆ ที่ฝนหยุดตกมานานแล้ว แต่พอวงเล่นเพลง Why Does It Always Rain on Me ซึ่งเป็นซิงเกิลต่อมา ฝนกลับตกลงมาอีกครั้ง จนกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ และจุดกระแสให้ผู้คนสนใจพวกเขา จนยอดขายดีขึ้นมามาก

และซิงเกิลต่อมา Driftwood ก็ยอดเยี่ยมอย่างไม่มีที่ พร้อมทั้งได้เบิกทางให้กับวงรุ่นหลังอย่าง Coldplay หรือ Keane และสุดท้ายแล้ว The Man Who ก็ทำให้พวกเขาคว้ารางวัล Brit Award มาครองได้อย่างงดงาม ทางวงเดินตามรอยความสำเร็จเดิมด้วยการออกอัลบั้ม The Invisible Band ในปี 2001 โดยมีเพลง Sing เป็นเพลงเปิดตัวที่เป็นเหมือนเพลงปลุกใจแบบเงียบๆ และตามด้วยเพลง Side ที่เนื้อเพลงนั้นยอดเยี่ยมจนทำให้เราต้องหันย้อนกลับมามองตัวเอง Flower in the Window เพลงหวานๆ ที่เปรียบเปรยความรักได้อย่างงดงาม และ Follow the Light ให้ความหวังกับเราเสมอ และก็ไม่แปลกเลยที่อัลบั้มยอดเยี่ยมแบบนี้สามารถทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่ฮิตระเบิดไปทั่วโลก

และพวกเขาก็ออก 12 Memories ในปี 2004 และ The Boy With No Name ในปี 2007 ก็ยังกลายเป็นงานฮิตชั้นดีเหมือนเดิม และอัลบั้มล่าสุด Ode to J Smith ในปี 2009

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประวัติวงดนตรี ซานตาน่า ( SANTANA)


วงดนตรี Santana ภายใต้การนำของ Carlos Santana ซึ่งเกิดเมื่อ 20 กรกฏาคม 1947 ที่ Autlan, Mexico


ประวัติและแรงบันดาลใจ
เมื่อ พูดถึงกีตาร์แนวร็อคนั้นก็เป็นไร้ข้อกังขาสำหรับคำที่ Eric Clapton กล่าวไว้ว่า Santana คือ "Soul Man#1" เป็นเวลานาน 30 ปีมาแล้วที่ Santana หาเลี้ยงชีพด้วยการคั้นโน้ตที่เต็มเปี่ยมด้วยวิญญาณออกมาคืนแล้วคืนเล่า เป็นผู้ที่รับแรงบันดาลใจมาจากมือกีตาร์อย่าง B.B. King, Wes Montgomery, Peter Green, Gabor Szabo และ Jimi Hendrex (รวมทั้งที่ไม่ใช่มือกีตาร์อย่างเช่น John Coltrane และ Miles Davis ด้วย) สไตล์ที่ Santana เล่นนั้นผสมผสานไปด้วย Latin rock ในแบบของเขาเอง, blues, jazz, pop, R&B และ fusion Santana แจ้งเกิดในงาน Woodstock ปี 1969 และเริ่มเก็บกวาดรางวัล platinum album ไปได้เป็นรางวัลแรกในประวัติศาสตร์วงการเพลงร็อคจากอัลบั้ม Santana (1969) และ Abraxas (1970) ด้วยเพลงสุดฮิตอย่าง "Oye Como Va" (แต่งโดย Tito Puente) และเพลง cover ของ Fleetwood Mac อย่าง "Black Magic Woman" Santana ได้รับความนิยมในการจัดแสดงคอนเสิร์ตในช่วงยุค 70s ในปี 1971 มือกีตาร์วัย 17 ปี ชื่อว่า Neal Schon (ต่อมาอยู่กับ Journey) ได้เข้ามาสมทบและปี 1973 Carlos ก็ได้บันทึกเสียงอัลบั้ม Love Devotion Surrender ที่โด่งดังกับดาวเด่นแห่งวงการ fusion อย่าง John McLaughlin ในปี 1977 Santana ก็ได้ส่งผลงาน set กึ่งสตูดิโอกึ่งแสดงสดชิ้นคลาสสิค Moonflower ออกมา ซึ่งบ่งบอกตัวตนในเรื่องของโทนเสียงในแบบ Santana ได้เป็นอย่างดีและถือเป็นอัลบั้มหนึ่งที่ขายดีมากสำหรับทางวงอีกด้วย
ในช่วงยุค 80s และ 90s Santana ยังคงออกทัวร์ต่อเนื่องมาเรื่อยๆ แต่อัลบั้มของเขาก็ไม่ได้ขายดีเหมือนยุครุ่งเรืองหลังช่วง Woodstock อย่างไรก็ตามในปี 1999 เขาก็ร่วมมือกับเจ้าพ่อโปรดิวเซอร์อย่าง Clive Davis เพื่อทำอัลบั้ม Supernatural ขึ้นมา เป็นอัลบั้มแบบ all-star ที่รวบรวมศิลปินดังมาร่วมงานมากมายอย่างเช่น Lauryn Hill, Eric Clapton และ Dave Matthews อัลบั้มนี้กลับกลายเป็นอัลบั้มที่ดังระเบิดที่ต้องขอบคุณเป็นพิเศษสำหรับ single ติดหูอย่าง "Smooth" ที่ได้ Rob Thomas นักร้องจากวง Matchbox 20 มาร้องในเพลง หลังจากผ่าน Woodstock มา 30 ปี Santana ก็กลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง


บทความนี้ตัดทอนมาจาก www.prartmusic.com ต้องขอขอบคุณมากครับ

ประวัติวงดนตรีร็อคที่น่าสนใจ วงกรีนเดย์ (Green Day)


กรีนเดย์ (Green Day) เป็นวงร็อคจากอเมริกา เริ่มฟอร์มวงในปี 1989 โดยสมาชิก 3 คนคือ Billie Joe Armstrong (กีตาร์, ร้องนำ), Mike Dirnt (เบส) และ Tré Cool (กลอง)

มียอดขายอัลบั้มทั่วโลกมากกว่า 60 ล้านชุด รวมถึง 22 ล้านชุดเฉพาะในสหรัฐอเมริกา และได้รับรางวัลแกรมมี่ 3 ครั้งสาขา Best Alternative Album จากอัลบั้ม Dookie, Best Rock Album จากอัลบั้ม American Idiot, และ Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams


ประวัติ
บิลลี่และไมค์เจอกันแล้วร่วมกันตั้งวงชื่อ Sweet Children ขึ้นมาตอนอายุสิบขวบ (1982) ก็เล่นกันมาเรื่อยๆ แต่ว่ายังไม่มีมือกลอง ตอนปี 1987 ก็มี John Kriftmeyer (หรือ Al Sobrante) มาเป็นมือกลอง Sweet Children สถานที่ๆเล่นเป็นทางการครั้งแรกคือ Rod's Hickory Pit ในรัฐแคลิฟอร์เนีย แล้วก็เล่นตามผับ ตามร้านอาหารเรื่อยมา

หลังจากที่เปลี่ยนชื่อเป็นกรีนเดย์แล้ว กรีนเดย์ทำ EP ตัวแรกคือ 1,000 Hours ตอนช่วงชีวิตไฮสคูล ไมค์เรียนจบ บิลลี่ดร็อปการเรียนไว้ อัลบั้มเปิดตัวครั้งแรกในปี 1990 คือ 1039 Smoothed Out Slappy Hours เป็นการนำเอาอีพีที่ทำๆไว้มารวมกัน ออกกับค่ายอินดี้อย่าง Lookout! Records หลังจากนั้นมือกลองก็ขอลาออกจากวงไปเรียนต่อ ไมค์แงะบิลลี่เลยจัดการทาบทามมือกลองของวง The Lookout ! ซึ่งก็คือ Tre cool มือกลองคนปัจจุบัน tre เปิดตัวในฐานะหนึ่งในสมาชิกในอัลบั้มที่สอง คือ Kerpunk

หลังอัลบั้มที่สอง ก็มีการทัวร์เกิดขึ้น Rob Cavallo ค่าย Reprise Records ได้สนใจจากการเห็นการเล่นสด และติดต่อไป กรีนเดย์เลยตัดสินใจเซ็นสัญญาร่วมงานด้วย อัลบั้มที่ออกกะค่ายนี้คือ Dookie เพลงในอัลบั้มนี้เป็นเพลงที่แต่งขึ้นระหว่างการทัวร์ซะส่วนใหญ่ หลังจากที่ Dookie ออกวางจำหน่าย กรีนเดย์กลายเป็นที่รู้จักกันในนามวงร็อคมากด้วยพลังและสติไม่เต็ม มียอดขายได้มากกว่าสิบล้านแผ่น (เฉพาะในอเมริกา) กรีนเดย์ชนะแกรมมี่อวอร์ตในปี 1994 สาขา Best Alternative Music Performance

อัลบั้มที่ตามมาก็คือ Insomniac กับ Nimrod เพลงที่ประสบความสำเร็จคือเพลง Good Riddance (Time of Your Life)สมาชิกแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปมีครอบครัว กรีนเดย์ตัดสินใจพักงานเพลงสองปี ในปี 2000 กรีนเดย์โจมตีวงการเพลงอีกครั้งด้วยอัลบั้ม Warning และด้วยเสียงเพลงที่ต่างจากอัลบั้มอื่นๆ เลยทำให้ไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับจากนักวิจารณ์และแฟนเพลงมากนัก เพลงที่โดนโจมตีมากที่สุดก็คือ Minority

หลังสี่ปีที่ไม่มีอัลบั้มใหม่ออกมา จะมีก็แค่ทัวร์เล็กๆน้อยๆ กรีนเดย์ปล่อยซิงเกิ้ล American Idiot ที่โจมตีรัฐบาล ในเดือนกันยายน 2004 อัลบั้ม American Idiot ขึ้นที่หนึ่งของบิลบอร์ดชาร์ตและก็ชาร์ตต่างๆ มากมายอีกทั่วโลก กรีนเดย์ถูกเสนอชื่อเข้าชิง เจ็ดสาขาของแกรมมี่อวอร์ต และที่ได้รับรางวัลคือ คือ Best Rock Album และ Record of the Year จากเพลง "Boulevard of Broken Dreams ในปี 2009 มีผลงานชุดล่าสุด 21 st Century breakdown

ผลงานอัลบั้ม
1990 - 39/Smooth
1992 - Kerplunk
1994 - Dookie
1995 - Insomniac
1997 - Nimrod
2000 - Warning
2004 - American Idiot
2009 - 21 st Century breakdown

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

แนะนำหัวหน้าสถานีวิทยุชุมชนนครสวรรค์ตก จังหวัดนครสวรรค์


แนะนำหัวหน้าสถานีวิทยุชุมชนนครสวรรค์ จังหวัดนครสวรรค์ HAPPY RADIO FM 89.5 MHZ. คือ คุณนรินทร์ สวนศิลป์พงศ์ เป็นชาวจังหวัดอุทัยธานีโดยกำเนิด ปัจจุบันทำงานที่ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานเขตธุรกิจขนาดย่อมนครสวรรค์ จบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาเศรษฐศาตร์์ จาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และปริญญาโท ด้านบริหารจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง นอกจากทำงานประจำแล้วยังรับหน้าที่ดูแล และบริหารสถานี รวมทั้งจัดรายการวิทยุโดยใช้ชื่อว่า ดีเจเอกชัย อีกส่วนหนึ่งด้วย
ต้องการลงโฆษณา ติดต่อคุณเอกชัย สวนศิลป์พงศ์ เบอร์โทร. 081-1725974 หรือ Email: happyradio_2552@hotmail.com

ผังรายการสถานีวิทยุชุมชนนครสวรรค์ตก จังหวัดนครสวรรค์

ผังรายการ สถานีวิทยุชุมชนนครสวรรค์ตก HAPPY RADIO FM 89.5 MHZ.

7.00 -7.30 น. ถ่ายทอดข่าวจากส่วนกลาง สถาีนีวิทยุแห่งประเทศไทย
7.30 - 10.00 น. เพลงสากลเก่า
10.00 - 12.00 น. เพลงสากลสไตร์ Easy & Listening
12.00 -13.00 น. ถ่ายทอดข่าวจากส่วนกลาง สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย
13.00 - 16.00 น. เพลงสากลใหม่ล่าสุดจากอังกฤษและอเมริกา
17.00 - 18.00 น. เพลงสากลคันทรี่
18.00 - 19.00 น. เพลงสากลแนวฮิบฮอบ แดนซ์
19.00 - 19.30 น. ถ่ายทอดข่าวจากส่วนกลาง สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย
19.30 - 21.00 น. เพลงร็อครุ่นเก่าและใหม่
21.00 - 22.00 น. เพลงสากลสไตร์ Easy & Listening

สามารถติดต่อขอเพลงโปรดของคุณได้ที่เบอร์โทร. 056-330582 ,ติดต่อโฆษณา คุณเอกชัย สวนศิลป์พงศ์ 081-1725974 และ E mail : happyradio_2552@hotmail.com

สถานีวิทยุชุมชุนนครสวรรค์ตก จังหวัดนครสวรรค์




สถานีวิทยุชุมชุนนครสวรรค์ตก จังหวัดนครสวรรค์
HAPPY RADIO FM 89.5 MHZ


เป็นสถานีวิทยุชุมชนที่จัดตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ในท้องถิ่น และนำเสนอเรื่องราวสาระความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ รวมทั้งให้ความบันเทิงทางด้านเสียงเพลง ข่าวสารในแวดวงการเพลงต่างๆ กระจายเสียงครอบคลุมในพื้นที่
ตำบลนครสวรรค์ตก และในเขตเทศบาลนครนครสวรรค์บางส่วน

สถานีวิทยุชุมชนนครสวรรค์ตก ตั้งอยู่ที่ 196/690 ม. 1 ต.นครสวรรค์ตก อ.เมือง
จ.นครสวรรค์ 60000 โทร. 056-330582 หรือติดต่อคุณเอกชัย สวนศิลป์พงศ์ 081-1725974 E-mail: happyradio_2552@hotmail.com