วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ Jimi Hendrix


Jimi Hendrix

นี่คือชายผู้สร้างตำนานที่ Woodstock อัจริยะผู้ที่ใคร ๆ ยกย่องว่าคืออันดับ 1 เเห่งวงการกีตาร์ ผู้ถูกร่ำลือว่าได้ขายวิญญาณให้กับซาตาน Jimi Hendrix มีชื่อจริง ๆว่า จอห์นนี อัลเลน เฮนดริกซ์ เกิดวันที่ 27 พฤศจิกายน 1942 เป็นลูกของ Al Hendrix (อัล เฮนดริกซ์) ซึ่งในตอนเด็กพ่อของเขากำลังรับราชการทหารอยู่ ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูได้ เขาจึงต้องไปอยู่ตามบ้านญาติ ๆ เมื่อเขาอายุ 5 ขวบพ่อเขาก็พาไปเปลี่ยนชื่อเป็น James marshell Hendrix (เจมส์ มาร์แชลล์ เฮนดริกซ์) แต่เขากลับชอบเรียกตัวเองว่า “จิมมี่” เขาเริ่มฟังเพลงตามแผ่นเสียงที่พ่อของเขาสะสม และเริ่มเล่นกีตาร์คูสติค ( Acoustic Guitar) เมื่อย่างเข้าวัยรุ่น พ่อของเขาตัดสินใจขาย Saxsophone ของเขา เพื่อนำเงินไปซื้อกีตาร์ไฟฟ้า Supro Ozark สีขาวตัวหนึ่งเป็นของขวัญ เขาเริ่มศึกษางานของเหล่ามือกีตาร์ Bluse เช่น B.B.King , Muddy Waters ต่อมาได้ไปเล่น Back up ในตำแหน่งกีตาร์ให้กับศิลปินหลายท่าน เช่น Ting Turner , Little Richard และ B.B.King

จนเมื่อปี 1959 เขาจึงตั้งวงดนตรีแรกของเขาขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Rocking Kings จากนั้นเขาก็ไปเป็นทหารพลร่ม จนเมื่อปี 1961 ได้ลาออกจากราชการทหาร และหันมาทุ่มเทเวลาให้ดนตรีอย่างจริงจังและได้ออกเดินทางเล่นดนตรีไปทั่ว สหรัฐฯ

ในปี 1965 เขาได้ตั้งวงใหม่ของเขาขึ้นโดยใช้ชื่อว่า Jimmy James And The Blues Flames ในปี 1966 วงดนตรีของเขาได้เดินทางไปเล่นยังร้านค้าแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก เขาได้เจอกับ ชาส แชนเลอร์ สมาชิกวง The Animals เชนเลอร์ประทับใจการเล่นกีตาร์ของเขามาก แชนเลอร์ เดินทางไปอังกฤษกับ Hendrix จนในเดือนตุลาคมปี 1966 ได้มีการคัดเลือกเอา Noel Redding(โนเอล เรดดิง)มาเล่นเบส และ Mitch Mitchell(มิตช์ มิตเชล มาเล่นกลอง) และก็กลายมาเป็นวง The Jimi Hendrix Experience พร้อมกับออกอัลบัมแรกกับสังกัด Polydor ชื่อ Are You Experienced? ในช่วงปลายปี 1967 อัลบัมชุดนี้ก็กลายเป็นอัลบัมในตำนานไปแล้ว ในเดือนมิถุนายน 1967 เขาเดินทางกลับสหรัฐฯ และได้ไปแสดงที่เทศกาลดนตรี Monterey International Pop Festival หลังจากวันนั้นชื่อ Jimi Hendrix ก็ได้โดงดังไปทั่วและเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง

ในเดือนมกราคมปีต่อมา ก็ได้ออกอัลบัมชุดที่ 2 ชื่อ Axis:Bold As Love
และออกอัลบัมชุดที่ 3 ในเดือนตุลาคมปี 1968 โดยใช้ชื่อว่า Electric Ladyland ในชุดนี้มี 2 แบบคือ 1.แบบ Censored 2.แบบ Uncensored หลัง จากนั้นประมาณ 1 ปีวง The Jimi Hendrix Experience ได้ปิดตัวลงหลังจากการเล่นคอนเสิร์ตร่วมกันครั้งสุดท้ายที่ไมล์ไฮสเตเดียม ที่เดนเวอร์ เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 1969 แต่ในเดือนสิงหาคมปีเดียวกัน (1969)เขาก่อตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกครั้งในชื่อ Gypsys Suns and Rainbows เพื่อเล่นในเทศกาลดนตรี Woodstock Music and Art Fair อย่างไรก็ตาม วงดนตรีนี้ถูกยุบไปอย่างรวดเร็วในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ซึ่งหลังจากยุบวงแล้ว จิมมีพร้อมกับเพื่อนสมัยเป็นทหารที่ชื่อ บิลลี ค็อกซ์ ได้ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่อีกครั้งในชื่อ The Band of Gypsys โดยบิลลีรับหน้าที่เป็นมือเบส แต่วง The Band of Gypsys ก็ได้เล่นคอนเสิร์ตร่วมกันเพียงแค่ 5 ครั้งเท่านั้นก่อนจะยุบวงไป


การแสดงครั้งสุดท้ายของพวกเขาก็คือ การแสดงที่เมดิสันสแควร์การ์เดน ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 28 มกราคม 1970 อัลบั้มบันทึกการแสดงคอนเสิร์ตครั้งนั้นออกตามมาในเดือนเมษายน พร้อมกับได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์ โดยยกให้เป็นหนึ่งในอัลบั้มบันทึกการแสดงที่ดีที่สุดตลอดกาล หลังจากยุบวง The Band of Gypsys แล้ว จิมมี เฮนดริกซ์จึงหันไปเปิดสตูดิโอบันทึกเสียง
ของตัวเขาเองที่ชื่อ Electric Lady Studios ในนครนิวยอร์ก เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 1970 ต่อจากนั้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ จิมมีเดินทางไปยังกรุงลอนดอนและในวันที่ 17 กันยายน เขาได้แต่งเพลงสุดท้ายในชีวิตของเขาขึ้น คือเพลง “The Story of Life” ในตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น ทั่วโลกต้องตกตะลึงหลังทราบข่าวการเสียชีวิตของราชากีตาร์ จิมมี เฮนดริกซ์ มีการกล่าวถึงสาเหตุการตายของเขาว่าเกิดจากการสำลักอาเจียนของตัวเอง หลังจากที่กินยานอนหลับขนาดแรงเข้าไปถึง 9 เม็ด ร่างไร้วิญญาณของเจ้าของตำนานเพลงร็อกผู้นี้ถูกนำกลับมายังบ้านเกิด โดยฝังไว้ที่สุสานกรีนวูด เมมโมเรียล ปาร์ก เมืองเรนตัน มลรัฐวอชิงตัน จากวันนั้นจนถึงวันนี้ จิมมี เฮนดริกซ์ ยังคงได้รับการยอมรับว่าเป็นมือกีตาร์ที่ดีที่สุดในโลกเท่าที่เคยมีมา

ในยุคนั้น ต้องยอมรับว่า วงการกีต้าร์ของอังกฤษกำลังระอุเพราะทั้ง Jeff Beck, Eric Clapton และ Pete Townshend ต่างกำลังถกเถียงกันว่าใครคือหมายเลข 1 กันแน่ และต้องขอบคุณเฮนดริกซ์ที่เป็นผู้ยุติศึกในครั้งนี้ เพราะหลังจากได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองทุกคนก็เห็นพ้องกัน ว่ามันช่างเป็นการโต้เถียงที่ไร้สาระจริงๆ และตั้งแต่นั้นมาพวกเขาก็เลิกพูดถึงมันอีก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น