วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติวง ทราวิส (Travis)


วงทราวิส (Travis ) ฟอร์มวงในช่วงกลางปี 90 ที่ Glasgow สกอตแลนด์ โดยวงดั้งเดิมชื่อ the Glass Onion ได้มีการเปลี่ยนสมาชิกไปมา และจนท้ายที่สุดก็มาลงตัวที่ Francis Healy (ฟรานซิส ร้องนำ) Andy Dunlop (แอนดี้ กีตาร์) Neil Primrose (นีล กลอง) และ Dougie Payne (ดักกี้ เบส) และเมื่อสมาชิกทั้งหมดเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะ ทั้งหมดก็ได้เริ่มคิดจริงจังกับศักยภาพของวง และเริ่มออก EP แรกซึ่งมีชื่อว่า All I Wanna Do Is Rock ด้วยเงินที่ได้มาจากการขอเงินแม่มาทำ ผลคือ All I Wanna Do Is Rock เป็นเพลงกีตาร์ง่ายๆ ที่เหมือนกับเรียกได้ว่าเป็นการ Back to Basic ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมหลังจากการดังระเบิดของ Oasis และจริงๆ แล้ว เพลงนี้ทางวงตั้งใจใช้คำว่า Fxxk แทน Rock ด้วยซ้ำ Travis ได้กลายเป็นวงวงแรกที่เซ็นสัญญากับค่ายเพลงน้องใหม่อย่าง Independiente ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นบ้านของศิลปินอย่าง Embrace, Kinesis หรือ Gomez ต่อมาจึงตัดสินใจย้ายไปที่ลอนดอนในปี 1996 พวกเขาเริ่มต้นด้วยการออกซิงเกิลที่ชื่อว่า U-16 Girl ที่เป็นเพลงสนุกๆ และทำให้พวกเขามีแฟนเพลงชื่อดังอย่าง Noel Gallagher มาชวนไปเล่นคอนเสิร์ทด้วย

ในที่สุด พวกเขาก็ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Good Feeling ด้วยการโปรดิวซ์ของ Steve Lilywhite โปรดิวเซอร์คู่บุญของ U2 ในปี 1997 และมีเพลงดังเก่า 2 เพลงข้างต้นรวมอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย นอกจากนี้แล้ว เพลงอื่นๆ เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ทำให้นึกถึงความสนุกแบบที่ The Beatles เคยมอบให้เรามาก่อนอย่าง Tied to the 90' เพลง More Than Us ที่ช้าๆ แต่ซึ้งสุดหัวใจ เรียกได้ว่า Travis ได้จับเอาจุดเด่นๆ ของวงอังกฤษอย่าง The Beatles หรือ Oasis มาผสมผสานจนได้แนวเพลงของตัวเองขึ้นมา และ Good Feeling ได้รับคำชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ทั่วสารทิศ แต่ในแง่ยอดขายแล้ว มันกลับทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

พวกเขาเก็บความผิดหวังเอาไว้กับตัว และมุ่งหน้าเดินสายทัวร์และเริ่มงานอัลบั้มชุดใหม่ โดยหันไปร่วมงานกับ Nigel Godrich โปรดิวเซอร์คู่บุญของวงระดับตำนานอย่าง Radiohead และพวกเขาก็เปิดตัวอัลบั้มนี้ด้วยเพลงช้าๆ เนิบๆ ที่ชื่อ Writing to Reach You ซึ่งต่างไปจากความเป็นร็อกสนุกๆ ของอัลบั้มที่แล้วเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้พวกนักวิจารณ์เริ่มแอนตี้พวกเขา และยิ่งเมื่อพวกเขาออกอัลบั้มเต็มที่ชื่อว่า The Man Who ที่เต็มไปด้วยเพลงช้าๆ กึ่งหดหู่แล้ว ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าให้นักวิจารณ์สับเล่นอย่างสนุกสนาน แต่ด้วยปาฏิหาริย์ที่ Glastonbury ทั้งๆ ที่ฝนหยุดตกมานานแล้ว แต่พอวงเล่นเพลง Why Does It Always Rain on Me ซึ่งเป็นซิงเกิลต่อมา ฝนกลับตกลงมาอีกครั้ง จนกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ และจุดกระแสให้ผู้คนสนใจพวกเขา จนยอดขายดีขึ้นมามาก

และซิงเกิลต่อมา Driftwood ก็ยอดเยี่ยมอย่างไม่มีที่ พร้อมทั้งได้เบิกทางให้กับวงรุ่นหลังอย่าง Coldplay หรือ Keane และสุดท้ายแล้ว The Man Who ก็ทำให้พวกเขาคว้ารางวัล Brit Award มาครองได้อย่างงดงาม ทางวงเดินตามรอยความสำเร็จเดิมด้วยการออกอัลบั้ม The Invisible Band ในปี 2001 โดยมีเพลง Sing เป็นเพลงเปิดตัวที่เป็นเหมือนเพลงปลุกใจแบบเงียบๆ และตามด้วยเพลง Side ที่เนื้อเพลงนั้นยอดเยี่ยมจนทำให้เราต้องหันย้อนกลับมามองตัวเอง Flower in the Window เพลงหวานๆ ที่เปรียบเปรยความรักได้อย่างงดงาม และ Follow the Light ให้ความหวังกับเราเสมอ และก็ไม่แปลกเลยที่อัลบั้มยอดเยี่ยมแบบนี้สามารถทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่ฮิตระเบิดไปทั่วโลก

และพวกเขาก็ออก 12 Memories ในปี 2004 และ The Boy With No Name ในปี 2007 ก็ยังกลายเป็นงานฮิตชั้นดีเหมือนเดิม และอัลบั้มล่าสุด Ode to J Smith ในปี 2009

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น