วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ศิลปิน ดิออน วอร์วิค (Dionne Warwick)


ดิออน วอร์วิค (Dionne Warwick)


เกิดเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 1940 เป็นนักร้องชาวอเมริกัน เกิดและเติบโตที่ รัฐนิวเจอร์ซี่ย์ ตอนเด็กได้ร้องเพลงกับคณะร้องเพลงประสานเสียงในโบสถ์ หลังจากนั้นได้ก่อตั้งคณะ ทรีโอกับญาติ คือ ดี ดี วอร์วิค และซิสซี่ ฮูสตัน (แม่ของน้า วิทนีย์ ฮูสตัน) มีเพลงที่โด่งดังมากมาย เช่น เพลง Walk On By , I Say A little Prayer และมีเพลงที่ขึ้นอันดับ 1 อย่างเพลง 'That's What Friends Are For' ที่ร้องร่วมกับสตีวี่ วันเดอร์ เอลตัน จอห์น และแกลดี้ส์ ไนท์ เป็นเจ้าของรางวัลแกรมมี่ 5 รางวัล, เป็นนักแสดง นักสังคมสงเคราะห์ ทูตองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ผลงานเพลงของเธอเป็นที่รู้จักดีโดยทำงานร่วมกับนักประพันธ์เพลง โปรดิวเซอร์ ชื่อดังอย่าง เบิร์ท บาคารัค และ ฮัล เดวิด
ในวันที่ 20 ธันวาคม 2552 จะมีคอนเสิร์ตการกุศล “Take my friends, Elephants Back Home” เพื่อโครงการ “ช้างยิ้ม” ที่หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย โดย ศิลปินดังระดับโลก ดิออน วอร์วิค มาทำการแสดง บัตรราคา 1,500-4,000 บาท คอนเสิร์ตในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนงบประมาณจากภาคเอกชน ถือว่าเป็นการสร้างความตื่นตัวในการร่วมมือแก้ปัญหาช้างเร่ร่อนได้อีกส่วน หนึ่ง ทั้งนี้เงินรายได้มอบให้เป็นกองทุนในการรณรงค์ช่วยช้างเร่ร่อนคืนถิ่น

**กด PLAY แล้ว PAUSE จนกระทั่งแถบแดงโหลดเต็มเสร็จก่อนนะครับ แล้วค่อยเปิดเพื่อสุนทรีย์ในการชม***



วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

คณะเดอะโรลลิงสโตนส์ (The Rolling Stones)


เดอะโรลลิงสโตนส์ (The Rolling Stones)

เป็นวงร็อกอังกฤษ ก่อตั้งวงในลอนดอนปี 1962 สมาชิกประกอบด้วย
ไบรอัน โจนส์ หัวหน้าวงดั้งเดิม
เอียน สจ๊วต มือเปียนโน
มิก แจ็กเกอร์ นักร้องนำ
คีธ ริชาร์ดส มือกีต้าร์
ในช่วงแรกแจ็กเกอร์และริชาร์ดส ร่วมในฐานะผู้ร่วมเขียนเพลง จากนั้นเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในวงหลังจากเกิดปัญหาและความไม่เอาแน่เอานอนของไบรอัน โจนส์ ต่อจากนั้น
มือเบส บิลล์ ไวแมน
และมือกลอง ชาร์ลีย์ วัตส์ ก็เข้ามาเป็นสมาชิกในยุคแรก

ภายหลัง เอียน สจ๊วตรู้สึกว่าไม่เหมาะสมกับการอยู่ในวง จึงออกจากวงอย่างเป็นทางการเมื่อปี 1963 แต่ยังคงทำหน้าที่เป็นผู้จัดการวงในช่วงออกเดินทางทัวร์ และเป็นมือคีย์บอร์ด จนเขาตายในปี 1985
ในช่วงแรกผลงานส่วนใหญ่จะนำเพลงเก่าในรูปแบบบลูส์อเมริกันและอาร์แอนด์บี มาทำใหม่ หลังจากที่วงประสบความสำเร็จครั้งแรกในสหราชอาณาจักร พวกเขาก็เริ่มประสบความสำเร็จในอเมริกาหลังจากออกรายการ "British Invasion" ในต้นยุคทศวรรษ 1960 วง เดอะโรลลิงสโตนส์มีภาพลักษณ์ที่ขัดกับวงคู่แข่งอย่าง เดอะบีทเทิลส์อย่างเห็นได้ชัดคือ มีภาพลักษณ์เป็นพวกยาวรุงรังและต่อต้านสังคม มีซิงเกิ้ลดังในปี 1965 อย่าง "(I Can't Get No) Satisfaction" และมีผลงานอัลบั้ม Aftermath
หลังจาก ไบรอัน โจนส์ เสียชีวิตในปี 1969 หลังจากถูกไล่ออกจากวง และแทนที่โดย มิก เทย์เลอร์ ซึ่งเทย์เลอร์ร่วมบันทึกเพลงกับวง 5 สตูดิโออัลบั้มก่อนออกจากวงในปี 1974 หลังจากนั้นมือกีตาร์ รอนนีย์ วูด เข้ามาในวง จากนั้นไวแมนออกจากวงในปี 1983 และดาร์รีล โจนส์ เข้ามาเป็นสมาชิกวงอย่างไม่เป็นทางการ เขาทำงานกับวงตั้งแต่ปี 1994 เดอะโรลลิงสโตนส์ ออกสตูดิโออัลบั้มมา 22 อัลบั้มในสหราชอาณาจักร (24 ชุดในสหรัฐอเมริกา) มีอัลบั้มคอนเสิร์ต 8 ชุด (9 ชุดในสหรัฐอเมริกา) และมีอัลบั้มรวมเพลงอีกหลายชุด มียอดขายรวม 200 ล้านชุดทั่วโลก
อัลบั้มล่าสุดของพวกเขาคือ A Bigger Bang ออกในปี 2005 และเขายังมีสถิติในชุด Sticky Fingers (1971) ที่ถือเป็นอัลบั้มอันดับ 1 ในสหรัฐอเมริกาอย่างต่อเนื่อง ถึง 8 ชุด นอกจากนี้พวกเขายังมีชื่ออยู่ในร็อกแอนด์โรลฮอลออฟเฟม ในปี 2004 และติดอันดับ 4 ของการจัดอันดับนิตยสารโรลลิงสโตนในหัวข้อ 100 ศิลปินที่เยี่ยมที่สุดตลอดกาล

เดอะ โรลลิ่ง สโตนส์ ศิลปินร็อกที่ยิ่งใหญ่ มีชื่อเสียงมายาวนานกว่า 40 ปี มีผลงานมากกว่า 40 อัลบั้ม ยอดขายรวมกันกว่า 100 ล้านแผ่นทั่วโลก จนกลายเป็นตำนานแห่งวงการดนตรีร็อกแอนด์โรล และเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลมากที่สุดในสาขาเพลงร็อก ปี 60 - 90 พวกเขาเป็นแรงบันดาลใจของศิลปินร็อกยุคต่อมาอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น แอร์โร่ สมิธ, กันแอนด์โรสเซส, เรด ฮอต ชิลลี่ เปปเปอส์

วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติ คณะ Kansas



ประวัติ คณะ Kansas

Kansas เป็นวงร็อคในยุด 70 ที่แรกเริ่มก็เหมือนกับวงร็อคทั่วไป แต่ด้วยความสามารถเฉพาะตัวที่อยู่ในระดับสูงของนักดนตรี สร้างอิทธิพลให้กับตนเองฉีกแนวจากวงร็อคทั่วไป ลักษณะเพลงที่มีความเร็วกว่า British Progressive Rock เช่น Genesis,Yes,King Crimson ผสมผสานกับไวโอลีน

สมาชิกยุด Line Up ประกอบด้วย
-Phil Ehart กลอง
-Dave Hope เบส
-Kerry Livgren Lead&Rhythim Guitar
-Robbie Steinhardt ไวโอลีน,ร้องนำ
-Steve Walsh ร้องนำ,เปียโน
-Richard Williams Lead Guitar

Kansas เป็นวง Progressive Rock จากอเมริกา ภายใต้กระแสดนตรีจากอังกฤษ มีอัลบั้มชุดแรก ที่มีชื่อเดียวกับวง ในปี 1974
ในปี 1976 มีเพลงฮิต ชื่อ Carry On Wayward Son ผลงานจากอัลบั้มชุดที่ 4 คือ Left over และมีเพลงฮิตที่หลายคนคุ้นเคย จากอัลบั้ม Point Of No Return เพลง Dust In The Wind บทเพลงที่บอกว่า

“เพียงเถ้าธุลี ลอยละล่อง ละเลียดผ่านสายลมพลิ้วไหว ทุกสิ่งล้วนลวงตา และไม่จีรังยั่งยืน”

โดยมีเสียงกีต้าร์ อคูสติกใสสะอาด และเสียงไวโอลินหวานหู คลอไปกับบทเพลง

วันพุธที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติ คณะ เดอะ คอรร์ (The Corrs)


ประวัติ คณะ เดอะ คอรร์ (The Corrs)

วงดนตรีคณะ เดอะ คอรร์ (The Corrs) เป็นวงดนตรีจาก Ireland ซึ่งตั้งชื่อวงตามชื่อสกุลของตนเอง

The Corr ประกอบด้วยสมาชิก 4 คน ที่เป็นพี่น้องกัน
ชาย 1 คือ Jim Corr (พี่ชายคนโต)
และหญิง อีก 3 คือ Andrea Corr , Caroline Corr, Sharon Corr

เล่นเพลงสไตล์รักบ้าน แนว Celtic rock ที่ไพเราะและที่ความเป็น Pop ร่วมสมัยอยู่สูง ซึ่งวงนี้โด่งดังมากในช่วงยุคปี 2000 มีเพลงฮิตต่าง ๆ เช่น What Can I Do, Breathless, Runaway, So Young, Dream และล่าสุด All The Love In The World ที่เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ America Sweethearts
เดอะ คอรร์ส เริ่มประสบความสำเร็จจากการได้แสดงเพลง "Runaway" ซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาในรายการ The Late Late Show ในช่วงปี 1993 แต่นอกจากบ้านเกิดใน ไอร์แลนด์ แล้ว พวกเขายังไม่เป็นที่รู้จักในวงกว้างซักเท่าไร จนกระทั่งในปี 1994 เมื่อ จีน เคนเนดี สมิธ เอกอัคราชทูตอเมริกันประจำประเทศไอร์แลนด์ ได้เห็นการแสดงของ เดอะ คอรร์ ที่เมืองดับลิน จึงเชิญให้พวกเขาไปแสดงในงานฟุตบอลโลกในปี 1994 ที่บอสตัน สหรัฐอเมริกา ก่อนถึงกำหนดกลับไอร์แลนด์ ทั้ง 4 พี่น้องได้ใช้เวลาระหว่างนั้น ตระเวนหาบริษัทแผ่นเสียงที่สนใจจะรับพวกเขาไว้ในสังกัด สุดท้ายจึงได้เข้าสังกัด วอร์เนอร์มิวสิคกรุ๊ป และได้ร่วมงานกับ เดวิด ฟอสเตอร์ โปรดิวส์เซอร์และนักแต่งเพลงชื่อดัง รวมถึงได้แสดงเป็นวงเปิดคอนเสิร์ต ให้กับ ซีริน ดีออน ด้วย


อัลบั้มชุดแรก Forgiven ,Not Forgotten ซึ่งประสบความสำเร็จมากในไอร์แลนด์ ,ออสเตรเลีย,สเปน สวีเดน และอังกฤษ แคนาดา ด้วย

อัลบั้มชุดที่ 2 ในปี 1997 อัลบั้ม Talk On Corners นอกจากจะประสบความสำเร็จในไอร์แลนด์แล้ว ยังดังในอังกฤษด้วยยอดขายระดับ 9 Platinum ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตอัลบั้มในประเทศอังกฤษ รวมถึงในประเทศอื่นๆ และมียอดขายถึงหลัก Gold ในสหรัฐอเมริกา อัลบั้มนี้มีเพลงดังอย่าง "Dreams" เพลงเก่าของฟลีทวูด แมค, "What Can I Do?" และ "So Young"

ในปี 2000 อัลบั้ม In Blue มีเพลงฮิตอันดับ 1 ในอังกฤษเพลงแรกของวง คือเพลง "Breathless"

ในปี 2001 ออกอัลบั้มรวมฮิต Best of The Corrs ซึ่งมีเพลง "All The Love In The World" และ "Would You Be Happier"

ในปี 2004 กับอัลบั้มชุดที่ 4 Borrowed Heaven มีเพลงฮิตอันดับ 6 ในอังกฤษเพลง "Summer Sunshine" นอกจากนี้ เดอะ คอรร์ ยังได้อัดเสียงร่วมกับ จอช โกรแบน เพลง Canto Alla Vita นอกจากนี้ยังได้ร่วมงานกับศิลปินดังๆ อย่าง ร็อค สจวร์ต,วง เดอะ โรลลิ่งสโตนส์ ,เชอริล โครว์ ในเพลง "C'mon, C'mon" และ โบโน จากวง U2

ในปี 2005 ออกอัลบั้ม Home เป็นอัลบั้มเพลงแบบไอริชดั้งเดิม ซึ่งส่วนใหญ่คัดมาจากหนังสือเพลงที่แม่ของ 4 พี่น้องซึ่งเสียชีวิตไปแล้วเขียนเอาไว้ ในเดือน กรกฎาคม 2005 เดอะ คอรร์ส ได้ร่วมคอนเสิร์ตระดับโลก LIVE 8 โดยได้ร่วมแสดงกับ โบโน ในเพลง "One" ด้วย

สุดท้ายในเดือนมีนาคม 2006 เดอะ คอรร์ส ตัดสินใจหยุดพักงานเพลง เนื่องจากอยากมีเวลาให้กับครอบครัว และแยกย้ายกันไปทำงานในด้านอื่น

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประวัติ ชาคิร่า (Shakira)


ประวัติ ชาคิร่า (Shakira)

ชาคิร่า หรือ ชาคิร่า อิซาเบล เมบารัค ไรโพลล์ (Shakira lsabel Mebarack Ripoll) นักร้องสาวชาวโคลัมเบียวัย 32 ปี ที่มีสะโพก ที่ได้รับฉายาว่า “สะโพกดอกไม้ไหว” ด้วยทักษะในการเต้นระบำหน้าท้อง (Belly Dancing) ที่โดดเด่น โดยมีคู่แข่งคนสำคัญคือ สาวสะโพกดินระเบิด อย่าง เจนิเฟอร์ โลเปซ
เธอหลงรักการร้องเพลง และการเต้นมาตั้งแต่ยังเด็ก จนเมื่อย่างเข้าวัยรุ่นในยุค 90s เธอจึงเริ่มไต่เต้าเข้าสู่วงการเพลงละตินจนเป็นที่รู้จักไปทั่วทั้งโซนอเมริกาใต้
ต่อมาในปี 2001 เธอเริ่มก้าวสู่ความโด่งดังในระดับสากลกับอัลบั้มภาษาอังกฤษชุดแรกในชีวิตอย่าง Laundry Service ที่มียอดขายมากถึง 13 ล้านเหรียญทั่วโลก และปิดท้ายในปี 2006 ด้วยการประสบความสำเร็จถึงขีดสุดกับซิงเกิ้ลเพลง Hips Don’t lie ที่เธอไปร่วมร้องรับเชิญให้กับเจ้าพ่อเพลงฮิพฮอพ ไวเคลฟ์ ณ็อง (Wyclef Jean) จนขึ้นอันดับ 1 ใน U.S.A. และอีกหลายประเทศ ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งแรงส่งที่ช่วยให้เธอกลายมาเป็นศิลปินจากโคลัมเบียที่มียอดขายผลงานสูงสุดตลอดกาลมาจนถึงปัจจุบันนี้
ปี 2009 อัลบั้มชุดล่าสุด She Wolf ถือเป็นการเปลี่ยนแนวเพลงของเธออย่างชัดเจนจากละตินป๊อบไปสู่อิเลคทรอป๊อบ และส่วนผสมจากดนตรีในแบบเวิลด์มิวสิค ได้อย่างน่าสนใจ ปัจจุบันเธอคบหากับนักกฏหมายหนุ่มชื่อ อันโตนิโอ เดอ ลา ครัว ได้ 9 ปี และตกลงหมั้นหมายกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว