วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ Kyu Sakamoto


Kyu Sakamoto (Sakamoto Kyuในญี่ปุ่น) เกิดเมื่อวันที่10 พฤศจิกายนพ.ศ. 2484 เกิดที่จังหวัดคาวาซากิ ในเขตคันนากาวา มีพี่น้องทั้งหมด 9 คน เขามีชื่อเล่นว่า "Kyu" ซึ่งแปลว่า เก้า เป็นนักร้องที่โด่งดังมากจากเพลง Ue wo muite arukou หรือในชื่อที่ถูกนำมาร้องใน Version ภาษาอังกฤษว่า Sukiyaki. Kyu-chan เป็นชื่อเล่นของเขา เขามีความจริงใจและยิ้มมีเสน่ห์ (คนรูปร่างเล็กที่อ่อนโยน) วางแผงที่ญี่ปุ่นในพ.ศ. 2504 ภายหลังนั้นก็วางแผงที่ประเทศสหรัฐอเมริกาพ.ศ. 2506 ในวันที่15 มิถุนายน พ.ศ. 2506 ก็กลายเป็นเพลงนี้ที่เป็นที่นิยมเป็นอันดับ 1 ใน Billboard Chart และเขาได้แต่งงานกับนักแสดงหญิงที่ชื่อว่า Meiko Nakamura Kyu Sakamoto เสียชีวิตในวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2528 ในขณะที่เขาอายุได้ 43 ปี เขาได้โดยสารเครื่องบินโบอิ้ง 747 ของสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ JAL 123 แล้ว เครื่องบินที่เขาโดยสารได้ตก ห่างจากกรุงโตเกียวในทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 96 กิโลเมตร มีผู้เสียชีวิต 520 คน และเขาก็เสียชีวิตด้วย แม้ว่า Kyu Sakamoto จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เพลงของเขายังคงเป็นที่นิยมทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ เอลวิส เพลสลี่ย์ (Elvis Presley)


เอลวิส เพรสลีย์ (Elvis Presley) มีชื่อจริงว่า เอลวิส แอรอน เพรสลีย์ มีฉายาว่า “ราชาแห่งร็อกแอนด์โรลล์” เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2478 เป็นชาวมลรัฐมิสซิสซิปปี้ ได้รับอิทธิพลการขับร้องเพลงมาจากการร้องเพลงในโบสถ์ และนักร้องบลูส์ผิวสี ในปี 2496 เอลวิส ซึ่งทำงานในร้านเครื่องจัก ปาร์เกอร์ ในช่วงพักกลางวันเขาได้เข้างไปห้องบันทึกเสียงเพื่อบันทึกแผ่นเสียงเป็นของขวัญให้กับแม่ เป็นเพลง My Happiness และ That’s When Your Heartaches Begin ซึ่งขณะนั้นเจ้าของร้าน แซม ฟิลลิปส์ และเจ้าของบริษัทแผ่นเสียง ซัน กำลังหานักร้องเพลงอาร์แอนด์บี และนั่นคือจุดเริ่มต้นชีวิตนักร้องของเอลวิส
เอลวิส เข้าสังกัต ซันเรคคอร์ด และตั้งวงดนตรี ชื่อ ควอร์เต็ดล้านดอลล่าร์ เริ่มดังในตอนใต้ของอเมริกา ภายหลังได้เซ็นสัญญากับ บริษัท อาร์ซีเอ วิกเตอร์ และในปี 2498 มีผลงานเพลงของเขาเอง และกลายเป็นอัลบั้มแผ่นเสียงชุดแรกของเอลวิส ที่ดังกระฉ่อนไปทั่วประเทศ ที่มียอดขายเกินกว่า 1 ล้านแผ่น และได้ก้าวเข้าสู่วงการภาพยนต์ ในปี 2499 เรื่อง เลิฟ มีเทนเดอร์ ซึ่งทำให้คนทั่วโลกรู้จักเขามากยิ่งขึ้น และเป็นช่วงที่เอลวิสโด่งดังสุดขีด
เป็นนักร้องชาวอเมริกันมีเพลงดังมากมาย เช่น Heartbreak hotel,Blue Suede shoe เป็นต้น รวมทั้งการเป็นนักแสดงภาพยนต์ มีเรื่องฮิต เช่น Love Me Tender ,จีไอ บลูส์ และบลูฮาวาย ที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก จนยากที่จะหาใครเทียบได้ ในช่วงเวลานั้นเอง เขาได้อำลาวงการเพื่อเข้ารับการเกณฑ์ทหาร ในปี 2501 เป็นพลขับของกองทัพบกประจำการที่ประเทศเยอรมัน เป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากปลดประจำการ เอลวิส เข้าสู่วงการอีกครั้ง และได้รับการต้อนรับอย่างดี อัลบั้มเพลงในภาพยนต์ เรื่อง จีไอ บลูส์ ขึ้นอันดับ 1 ของบิลบอร์ด 10 สัปดาห์ติดต่อกัน ในช่วงนี้เองเป็นช่วงที่เขาประสบความสำเร็จสูงสุดทั้งภาพยนต์ และอัลบั้มเพลง ในปี 2510 เอลวิส ได้ออกอัลบั้มเพลง กอสเปล ชุดที่ 2 ชื่อว่า ฮาว เกรต เทา อาร์ต (How Great Thou Art) ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลแกรมมี่เป็นครั้งแรก
ในปี 2516 เอลวิสประสบปัญหาเรื่องสุขภาพ เคยถูกนำส่งโรงพยาบาลด้วยโรงปอดบวม โรคเยื่อหุ้มปอดอักเสบ โรคลำไส้ใหญ่อักเสบ นอกจากต้องต่อสู้กับโรค ที่สะสมมาเป็นระยะเวลานานแล้ว ยังต้องต่อสู้กับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่เขาก็ยังตระเวนเปิดการแสดงตามคำเรียกร้องของแฟนเพลงตามเมืองต่างๆ อยู่เสมอ
***ในวันที่ 16 สิงหาคม 2520 หลังเที่ยงคืน หลังจากที่เอลวิสไปพบทันตแพทย์ในช่วงเช้า แฟนสาวของเขาก็พบเอลวิสนอนหมดสติอยู่ภายในห้องน้ำ ซึ่งเป็นการเสียชีวิตอย่างกะทันหัน ที่ คฤหาสน์เกรสแลนด์ของเข้าเองด้วยวัยเพียง 42 ปี

วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติศิลปิน Akon


หลัง จากเอาชนะใจบรรดาแฟนเพลงด้วยอัลบั้มเปิดตัว Trouble ในปี 2003 ที่ได้รับแผ่นเสียงทองคำขาวนับไม่ถ้วน นักร้องหนุ่มชาวเซเนกัลก็กลับมาพร้อมเรื่องราวจากประสบการณ์ที่มากขึ้นกว่า เดิมซึ่งอัดแน่นอยู่ในอัลบั้มชุดที่สองของเขา Konvicted ถ้าอัลบั้ม Trouble คือบทกวีแห่งการไถ่บาปของ เอค่อน Akon (ก่อนจะเริ่มอาชีพบนถนนสายดนตรี เขาเคยติดคุกในข้อหาขโมยรถมาก่อน) อัลบั้ม Konvicted ก็น่าจะเป็นการเกิดใหม่อีกครั้งของเขา ตอนนี้ภารกิจของเขาคือปฏิวัติตัวเองเสียใหม่ผ่านทางดนตรีแห่งการพ้นทุกข์

แม้ ซิงเกิ้ลฮิต "Locked Up" จะสร้างชื่อเสียงให้เขา แต่ความเฉียบคมที่เต็มเปี่ยมด้วยความหลากหลายกลับปรากฏเด่นชัดอยู่ในอัลบั้ม ชุดที่สองของเขา ในอัลบั้ม Konvicted เขาได้โปรดิวซ์และแต่งเพลง 11 เพลงจากทั้งหมด 12 เพลง อัลบั้มชุดนี้มีบทเพลงที่เขาได้บันทึกเสียงร่วมกับศิลปินชื่อดังอย่าง Eminem (อยู่ในซิงเกิ้ลแรก "Smack That"), Snoop Dogg (ในเพลง "I Want to Love You") และกับ Styles P. (ซึ่งเป็นผู้เรียบเรียงซิงเกิ้ลฮิตเพลงแรก "Locked Up" ให้ เอค่อน Akon) อัลบั้ม Konvicted คือการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างดนตรีข้างถนน ความคิดริเริ่มในห้องอัดและความรู้รอบตัวเพื่อสร้างสรรค์หนึ่งในอัลบั้มที่ จริงใจที่สุดของปี 2006

"Smack That" คือเพลงบ้าระห่ำเต็มเปี่ยมด้วยพลังที่มีองค์ประกอบของเพลงเต้นรำในคลับอยู่ อย่างครบถ้วน แถมยังได้เนื้อเพลงบาดหูจากเจ้าพ่อเพลงแร็พ Eminem มาเสริมทัพให้มันส์ขึ้นไปอีก เอค่อน Akon ได้เจอกับ Eminem ไม่นานหลังร่วมงานกับ Obie Trice ในเพลง "Snitch" ทั้งสองคนกลายเป็นเพื่อนกันในเวลาที่รวดเร็ว "ผมรู้ทันทีว่าอยากได้ Eminem มาร่วมร้องในเพลงนี้ แต่เขาระวังตัวมากกับการไปปรากฎตัวบ่อยเกินไปในเพลงของคนอื่น ตอนที่เขาโทรมาบอกว่าพร้อมจะเข้าห้องอัดแล้ว ผมรู้ว่าผมโชคดีสุดๆ ผมรีบนั่งเครื่องบินไฟท์แรกไปดีทรอยต์ทันที" เอค่อน Akon กล่าว

อีก หนึ่งบทเพลงที่โดดเด่นไม่แพ้กันคือเพลงต่อต้านแก๊งอันธพาลอย่างเพลง "Runnin'" เพลงนี้มาจากการที่เขาหวนระลึกถึงเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง Super Fly ของตำนานเพลงโซล Curtis Mayfield ที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจริงใจ เขานึกถึงการดิ้นรนเพื่อหลุดพ้นจากวงจรอุบาทว์ เมื่อเขาร้องว่า "ผมเบื่อที่ต้องคอยวิ่งหนีกฎหมาย" น่าขันที่เพลงสุดแสนไพเราะนี้ถูกแต่งขึ้นมาในขณะที่ Akon ยังติดคุกอยู่ "นี่คือเพลงที่คุณสัมผัสได้เพราะมันคือเรื่องจริง" เอค่อน Akon กล่าวเปิดใจ "ผมหมายความตามคำพูดที่ร้องออกมาทุกคำ"

ด้วย การทำงานที่เจริญรอยตามแนวทางของศิลปินรุ่นบุกเบิกอย่าง R. Kelly เขาได้เปลี่ยนจากการเล่าเรื่องที่ดิบเถื่อนมาสู่เพลงแดนซ์เขย่าฟลอร์และเพลง บัลลาดที่สร้างแรงดลใจให้ผู้คนด้วยท่อนเพลงร้องผสมแร็พที่เฉียบคม นอกจากนี้ เอค่อน Akon ได้ทำ หน้าที่ร้องประสานในเพลงของตัวเองอีกด้วย "ผมไม่ได้มีเป้าหมายที่จะยกย่องเชิดชูชีวิตในด้านมืด แต่แก๊งอันธพาลก็เป็นคนเหมือนกัน พวกเขามีครอบครัว มีลูก ผมพยายามชี้ให้เห็นว่าในด้านมืดนั้นก็ยังมีด้านสว่างอยู่ ผมห้ามให้ใครทำอะไรไม่ได้ แต่ผมเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขาได้"

ในขณะที่เนื้อเพลงของ เอค่อน Akon ยังคงเข้มข้นไม่เปลี่ยน เขาก็ได้พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่ามีความคิดสร้างสรรค์ในด้านการผลิตผลงาน เขาไม่กลัวที่จะใส่กลิ่นไอเพลงป๊อปอย่างเสียงเปียโนและไวโอลินลงไป ดังจะเห็นได้จากเพลงบัลลาดหลอนหูสุดเลิศ "Never Took the Time" "เวลาแต่งเพลง ผมพยายามทำดนตรีที่ฉีกแนวไปจากตัวเอง" เอค่อน Akon เผยที่มาให้ฟัง "ในวงการดนตรีตอนนี้ โปรดิวเซอร์มีหน้าที่ผลักดันให้เกิดสไตล์เพลงที่หลากหลาย"

จาก การทำงานในสตูดิโอของเขาเองที่แอตแลนต้า เพลงที่น่าจะเป็นเพชรน้ำเอกของอัลบั้ม Konvicted คือเพลงที่ทรงพลังอย่าง "Africa" ด้วยทำนองเพลงที่มีเสียงเพอร์คัสชั่นอันหนักหน่วงที่อุทิศให้บ้านเกิดของเขา เนื้อเพลงที่เขาแต่งกล่าวถึงประเด็นมากมายที่เขาเคยหยิบยกขึ้นมาพูด ตั้งแต่เรื่องการใช้แรงงานทาสไปจนถึงการแบ่งแยกสีผิว "เป้าหมายหนึ่งที่ผมแต่งเพลง "Africa" ขึ้นมาก็เพื่อให้ทุกคนรับรู้ถึงการมีอยู่ของทวีปแอฟริกา" เอค่อน Akon กล่าว

ด้วยความยอดเยี่ยมของอัลบั้ม Konvicted ผู้ที่เป็นทั้งเจ้าของค่ายเพลง นักร้อง นักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์อย่าง เอค่อน Akon ได้ทลายกำแพงแห่งเสียงดนตรีลง พร้อมกับแสดงให้ทุกคนประจักษ์ถึงความสำคัญของเขาในฐานะผู้นำแห่งจิตวิญญาณใน สหัสวรรษใหม่ อัลบั้ม Konvicted จึงเป็นเหมือนไวน์ชั้นดีที่พิสูจน์ให้เห็นว่ายิ่งเวลาผ่านพ้นไป ฝีมือการทำงานของ Akon ก็ยิ่งจัดจ้านขึ้นเรื่อยๆ

วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติวง Led Zeppelin



กำเนิด Led Zeppelin
หลังจากได้ร่วมทำงานในอัลบั้มสุดท้าย ก่อนที่ The Yardbirds จะสลายวงในปี 1967 จิมมี่ เพจ (Jimmy Page) มือกีตาร์ของวงก็ต้องกลับไปเป็น “มือปืนรับจ้าง” ใน ห้องบันทึกเสียงเหมือนอย่างเก่า แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มฟอร์มวงขึ้น มา โดยชักชวนพรรคพวกที่เป็นนักดนตรีรับจ้างด้วยกันคือ จอห์น พอล โจนส์ (John Paul Jones) มือเบสส์ กับเทอร์รี่ เรลด์ (Terry Reld) นัก ร้อง และบี.เจ. วิลสัน (B.J. Wilson) มือกลองของวง Procol Harum เข้าร่วมฟอร์มวง

แต่ทั้งเทอร์รี่ เรลด์ และบี.เจ. วิลสัน กลับปฏิเสธ...อย่างไรก็ตามเทอร์รี่ เรลด์ได้แนะนำและติดต่อ โรเบิร์ต แพนท์ (Robert Plant) นักร้องของวง Hobbstweedle ให้ เข้ามาแทน ซึ่งทั้งสองก็ศรศิลป์กินกัน เพราะจิมมี่ เพจ ชื่นชอบในเสียงร้อง ของโรเบิร์ต แพลนท์ ตั้งแต่หนแรกที่ได้ยิน ส่วนตัวของโรเบิร์ต แพลนท์เองก็ ไม่ปฏิเสธ เพราะคุ้นเคยกับฝีมือและชื่อเสียงของจิมมี่ เพจ สมัยอยู่กับวง The Yardbirds เป็นอย่างดี และเมื่อรู้ว่ายังขาดมือกลองอยู่ โรเบิร์ต แพลนท์ ก็แนะนำจอห์น บอนแฮม (John Bonham) มือกลองวงเก่าของตัวเองคือ Band of Joy ให้ จิมมี่ เพจได้พิจารณา และเมื่อได้เห็นฝีมือหวดกลองของจอห์น บอนแฮม ทางจิ มมี่ เพจก็ไม่รอช้ารีบชักชวนให้เข้ามาร่วมวงทันที ซึ่งจอห์น บอนแฮมก็ไม่ ปฏิเสธเช่นกัน


ดังนั้นในเดือนกันยายน ปี 1968 ทั้ง 4 คนจึงได้เปิดตัววงใหม่ ขึ้นมาโดยใช้ชื่อว่า New Yardbirds

ด้วยที่แต่ละคนก็มีฝีมือ และผ่านสังเวียนดนตรีมามากพอ เพราะฉะนั้นพอตั้งวงกันได้พวกเขาก็เดินเข้า ห้องอัดเสียงทันที และพอบันทึกเสียงเสร็จพวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าให้ เปลี่ยนชื่อวงใหม่เป็น Led Zeppelin รวมทั้งใช้ชื่ออัลบั้มว่า Led Zeppelin I...อัลบั้ม ชุดนี้ออกวางในปี 1969 และออกวางได้เพียงเดือนเศษก็สามารถไต่อันดับขึ้นไป ถึงอันดับ Top 10 ของอเมริกาได้อย่างรวดเร็ว เมื่อประสบกับความสำเร็จที่ เกินคาด Led Zeppelin ใช้เวลาตลอดทั้งปี 1969 ที่เหลือหมดไปกับการทัวร์ คอนเสิร์ต และพร้อมกับทำงานชุดที่ 2 Led Zeppelin II ควบ คู่กันไปด้วย

และในเดือนตุลาคมของปีเดียวกัน( ปี 1969) อัลบั้ม Led Zeppelin II ก็ ออกวางตลาด และก็เหมือนกับอัลบั้มแรก คือประสบกับความสำเร็จอ่างท่วมท้นเช่น เดียวกัน รวมทั้งสามารถไต่อันดับชาร์ทขึ้นไปอยู่อันดับ 1 ในเวลา เพียง 7 สัปดาห์



ในปี
1970 อัลบั้มชุดที่ 3 Led Zeppelin III ก็ตามออกมาติดๆ และในอัลบั้มชุดนี้ทางวงก็ได้นำ British Folk เข้ามาผสม

ในปี 1971 มีอัลบั้มชุดที่ 4 Led Zeppelin IV ที่ออกวางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน 1971 เพลงในชุดนี้แม้จะคงความเป็นร็อคที่จัดจ้านและหนักหน่วงอย่างเพลง Black Dog ที่ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ล


แต่ในเพลงอื่นๆก็ยังผสม Folk เข้าไปไว้อย่างสวยงามอย่างเช่น The Battle of Evermore หรืออย่างเพลง Stairway to Heaven ก็ มีเนื้อหาที่กินใจและทำนองที่ไพเราะ และได้รับความนิยมมากกว่า เพลง Black Dog ที่ตัดออกมาเป็นซิงเกิ้ลเสียอีก และอัลบั้มชุดนี้ประสบความ สำเร็จอย่างสูง เพราะสามารถขายได้ถึง 16 ล้านแผ่น



ในปี 1973 อัลบั้มชุดที่ 5 House of the Holy ก็ ตามออกมาด้วยสีสันของดนตรีที่มี Funk และ Reggae เข้ามาผสมโดยอยู่ภายใต้ โครงสร้างของร็อคหนักๆเช่นเดิม ในปีนี้พวกเขาได้แสดงคอนเสิร์ตที่เมดิ สัน สแคว์ การ์เดน และการแสดงครั้งนี้ได้ถูกบันทึกเป็นภาพยนตร์โดยใช้ชื่อ ว่า The Song Remains the Same และนำออกมาฉายในอีก 3 ปีให้หลัง รวมทั้งได้ทรานเฟอร์มาเป็นแผ่นดีวีดีในอีกหลายๆปีต่อมา



ในปี
1974 พวก เขาไม่มีงานทัวร์คอนเสิร์ต และงานเพลงในสตูดืโอออกมา เพราะพวกเขาไปหมกมุ่น อยู่กับการเปิดสังกัด Swan Song ของตัวเองขึ้นมา เพื่อผลิตงานของตัวเองรวม ทั้งรับวงดนตรีที่อยู่ในแวดวงของร็อคด้วยกัน อาทิ เช่น Bad Company, Pretty Things และ Dave Edmund เข้ามาอยู่ในสังกัด...

ใน ปี 1975 พวกเขาก็ออกอัลบั้มชุดที่ 6 ออกมาเป็นอัลบั้มคู่ชื่อ Physical Graffiti ซึ่ง ก็ได้รับความสำเร็จด้วยดีเหมือนกับอัลบั้มก่อนๆที่ผ่านมา และสามารถติดชาร์ททั้งในอเมริกาและอังกฤษในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน ทำให้พวกเขาต้องกำหนด
ตาราง ทัวร์คอนเสิร์ตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่แล้วก็มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นมา เมื่อ โรเบิร์ต แพลนท์และภรรยาประสบอุบัติเหตุรถยนต์พลิกคว่ำ โรเบิร์ต แพ ลนท์เดี้ยงยาว ต้องหยุดพักรักษาตัว ตารางทัวร์คอนเสิร์ตก็ต้องล้มเลิกไปโดย ปริยาย



จนถึงปี 1976 Led Zeppelin ก็กลับมาอีกครั้งกับอัลบั้ม Presence ซึ่งก็ถูกตอบรับอย่างดีจากสาวกของพวกเขา แต่กับกระแสวิจารณ์ไม่มีใครพูดถึง กันมากนัก สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากอัลบั้มชุดนี้ออกขายพร้อมๆกับการออกฉายของ ภาพยนตร์ The Song Remains the Same ที่น่าสนใจกว่า แต่อย่างไรก็ตามก็ไม่ทำ ให้ยอดขายของอัลบั้มชุดนี้ตกลงแต่อย่างใด รวมทั้งยังติดอันดับชาร์ทเหมือนกับทุกอัลบั้มที่ผ่านมา...หลังจากอัลบั้ม ชุด Presence ออกวางจำหน่ายได้ไม่นาน ตารางการทัวร์คอนเสิร์ตของทางวงก็ถูก กำหนดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง และเมื่อการทัวร์คอนเสิร์ตเริ่มได้เพียง 2 เดือน เหตุการณ์ ร้ายที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับ โรเบิร์ต แพลนท์เข้าอีกจนได้ คราวนี้บุตรชาย อายุ 6 ขวบของเขาเสียชีวิตด้วยโรคติดเชื้อในกระเพาะอาหาร โรเบิร์ต แพลนท์ ไม่มีจิตใจที่จะร่วมแสดงคอนเสิร์ตที่เหลือได้อีกต่อไป ทำให้ทางวง ต้องยกเลิกการทัวร์คอนเสิร์ตที่เหลือไปโดยปริยาย...โรเบิร์ต แพลนท์แยกตัว จากวงไปอยู่อย่างสันโดษ เพื่อลืมเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง ส่วน สมาชิกอื่นๆของวงก็เก็บตัวกันเงียบ ไม่มีข่าวคราวทางด้านดนตรีออกมาเลย

จนกระทั่งปี 1978 พวก เขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง รวมทั้งได้ออกทัวร์คอนเสิร์ตเล็กๆใน ยุโรป ก่อนจะกลับเข้ามาในสตูดิโอเพื่อทำงานชุดใหม่หรือชุดที่ 8 ชื่อ In Througe the Out Door ออกวางจำหน่ายในปี 1979 และประสบกับความสำเร็จเช่นเดิม รวมทั้งขึ้นไปอยู่ อันดับ 1 ทั้งในอเมริกาและยุโรป...จากความสำเร็จของอัลบั้มชุดนี้ และการ ห่างเหินจากการทัวร์คอนเสิร์ตใหญ่ๆมานาน พวกเขาก็วางโปรแกรมที่จะออกทัวร์ คอนเสิร์ตกันอีกหน คราวนี้ออกทัวร์กันยาวนานหน่อย โดยวางแผนไว้ว่าจะสิ้นสุด การทัวร์ในเดือนพฤษภาคม ปี 1980 กันโน่นเลย ในขณะเดียวกันก็เริ่มวางแผนที่จะทำอัลบั้มชุดใหม่ควบคู่กันไปด้วย แต่ แล้วเหตุการณ์ณ์ร้ายแรงที่ไม่คาดฝันก็เกิดกับพวกเขาจนได้ คราวนี้ค่อนข้าง สาหัสสากรรจ์หน่อย เพราะเกิดกับสมาชิกของวงเอง โดยในเช้าของวันที่ 25 กันยายน 1979 มี คนพบศพจอห์น บอนแฮม มือกลองเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอนของตัวเอง และแพทย์ที่มา ชันสูตรศพก็ระบุว่าจอห์น บอนแฮมเสียชีวิตเนื่องจากสำลักอาเจียนของตัวเอง เพราะในระยะหลังๆจอห์น บอนแฮมดื่มเหล้าจัดมาก...เมื่อขาดมือกลองทางวงก็ ได้ปรึกษาหารือกัน และสรุปว่าจะไม่หามือกลองคนใหม่มาแทนจอห์น บอนแฮม

ดังนั้นในเดือนธันวาคม ปี 1979 ทาง วง Led Zeppelin ก็ออกมาแถลงขอยุบวงอย่างเป็นทางการ เป็นการปิดฉากและตำนาน อันยิ่งใหญ่ของวงฮาร์ด ร็อคก้องโลก ที่ตั้งแต่เริ่มวงจนถึงประกาศเลิกวง ไม่ มีการเปลี่ยนหรือเพิ่มสมาชิกเข้ามาในวงแม้แต่คนเดียว

บทเพลง Stairway to Heaven ผลงานของ Led Zeppelin

!

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ประวัติ มาดอนน่า (MADONNA)


มาดอนน่า หลุยส์ เวอโรนิก้า ซิกโคน (อังกฤษ: Madonna Louise Veronica Ciccone) (เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2501) หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปในชื่อของ มาดอนน่า เป็นนักร้องสาวแนวเพลงป๊อปชาวอเมริกันนอกจากความสามารถด้านการร้องเพลงแล้ว มาดอนน่ายังเป็นนักแต่งเพลง, โปรดิวเซอร์ และนักแสดงอีกด้วย
** ในปี 1977 เธอย้ายจากบ้านเกิดที่เบย์ซิตี้ รัฐมิชิแกน สหรัฐอเมริกา ด้วยเงินติดตัวเพียง 35 ดอลล่าร์ เธอบอกให้แท็กซี่พาเธอไปที่ ที่เป็นใจกลางของทุกสิ่ง จนเธอได้มาทำงานในร้านดังกิ้นโดนัทใน นิวยอร์ก ด้วยความหวังที่ว่า สักวันนึงเธอจะต้องดังให้ได้ เธอตะเกียกตะกายมาเรื่อยๆ

**จนกระทั่งปี 1979 เธอได้งานเป็นนักแสดงในคณะ ละครเสียดสีสังคม ในช่วงนั้นเธอได้รู้จักกับแดน กิลรอย (Dan Gilroy) ต่อจากนั้นไม่นานนัก ทั้งสองตัดสินใจคบกัน ในฐานะคนรัก และได้ฟอร์มวงดนตรีขึ้นมา ชื่อว่า เดอะ เบรกฟาสต์ คลับ (The Breakfast Club) เริ่มแรกมาดอนน่าเล่น กลองและในเวลาต่อมาเธอก็ได้เป็นนักร้องนำ จนกระทั่งเธอกับแฟนเก่า สตีเฟ่น เบรย์ (Stephen Bray) ตั้งวงดนตรีขึ้นมาใหม่โดยใช้ชื่อว่าเอ็มมี่ (Emmy) แต่ด้วยความที่อยาก ออกอัลบั้ม มาดอนน่าและเบรย์จึงได้ลาออกจากวง และได้ทำเทปเดโมส่งไปให้มาร์ค คามินส์ (Mark Kamins) โปรดิวเซอร์ และดีเจ จนได้เซ็นสัญญากับไซร์ เรคคอร์ด (Sire Records) เป็นนักร้องเดี่ยว โดยมีซิงเกิลแรกคือ Everybody ที่ขึ้นไปได้ถึงอันดับ 3 ใน Billboard Dance Chart แล้วซิงเกิล Burning Up ก็ตามมาตอกย้ำความฮอท

จนเธอได้ออกอัลบั้มเดี่ยวอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อของตัวเองเป็นชื่ออัลบั้ม เพลง Holiday เป็นเพลงแรกของเธอ ที่เข้าชาร์ท Billboard Hot100 จากนั้นมาเธอก็มีเพลงดังมาเรื่อยๆอย่าง Borderline และ Lucky Star ร่วมปูทางในเส้นทางสายดนตรีให้เธอได้อย่างสวยงาม

อัลบั้มที่สอง Like A Virgin เธอได้เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นสาวเซ็กซี่ตามสไตล์มาริลีน มอนโร อัลบั้มนี้มีเพลงสร้างชื่ออย่างเช่น Like A Virgin, Material Girl, Dress You Up และ Angel และที่ไม่กล่าวถึงไม่ได้คือโชว์ Like A Virgin สุดหวือหวาในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวี วีดีโอ มิวสิก อวอร์ดส ปี 1984 (MTV Video Music Awards 1984) เธอใส่ชุดเจ้าสาวเดินควงตุ๊กตาเจ้าบ่าวตัวเท่าคนจริงเดินลงมาจากเค้กก้อนยักษ์ แล้ว กลิ้งไปมาด้วยลีลาเย้ายวนเธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ มาดอนน่าสร้างสถิติอีกครั้งด้วยการพาเพลง Like A Virgin ขึ้นอันดับ 1 ยาวนานถึง 6 สัปดาห์ จนทำให้เธอได้กลายเป็นนักร้องซุปเปอร์สตาร์ที่ทั่วโลกรู้จักด้วยลุคอันจัดจ้านของเธอ เท่านั้นยังไม่พอ เธอยังไปร้อง เพลง Crazy For You ประกอบภาพยนตร์วิชั่น เควส (Vision Quest) ที่ดังจนซิงเกิลการกุศล รวมนักร้องดังของยุคอย่าง We Are The World ต้องยอมลงจากที่ 1 เชียว เธอได้เริ่มต้นเข้าสู่วงการ ภาพยนตร์อย่างจริงจังจากการได้รับบทนำใน Desperately Seeking Susan

และช่วงนั้นเองนับว่าเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตเธอ เมื่อหนังโป๊ต้นทุนต่ำของเธอเรื่อง A Certain Sacrifice ซึ่งเธอถ่ายไว้เมื่อก่อนเข้าวงการถูกออกฉาย เท่านั้นยังไม่พอหนังสือเพลย์บอยและ เพนท์เฮาส์ต่างพากันลงรูปโป๊ของเธอที่เคยถ่ายไว้ก่อนเข้าวงการ แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความนิยมของเธอลดน้อยลงเลย กลับกันเด็กสาวต่างพากันแต่งตัวเซ็กซี่ตามมาดอนน่า เธอแต่งงานครั้งแรกกับดาราหนุ่มชอณ เพนน์ (Sean Penn) มีหนังที่เล่นด้วยกันอย่างเรื่อง Shanghai Surprise แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า..

เส้นทางในวงการเพลงของเธอเดินทางอย่างราบรื่น เธอมีเพลงอันดับ 1 อย่าง Live to Tell, Papa Don't Preach และ Open Your Heart จากอัลบั้ม True Blue ที่ขายได้ ถึง 22 ล้านก๊อปปี้ อัลบั้มนี้เธอตั้งใจจะอุทิศให้สามี ในทางตรงกันข้ามชีวิตคู่ของเธอต้องจบลง เมื่อเธอ และ Penn ตัดสินใจหย่าขาดจากกัน Papa Don't Preach หรือ พ่อจ๋าอย่าบ่น สร้างกระแสฮือฮามากเพราะเนื้อหาเกี่ยวกับเด็กวัยรุ่นที่ท้องก่อนเวลาอันควร แต่ก็ยังรั้นจะเก็บลูกไว้

อัลบั้มที่สี่ Like A Prayer วางแผง แน่นอน ต้องมีเพลงฮิตอันดับ 1 ซึ่งอัลบั้มนี้ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เพราะมีด้วยกันถึง 4 เพลง คือ Like A Prayer, Express Yourself, Cherish และ Keep It Together มิวสิกวิดีโอเพลง Like A Prayer ก็ช็อคแฟนเพลงอีกครั้งด้วยการ นำเรื่องศาสนามาเกี่ยวกับเซ็กส์จนโดนตำหนิจากวาติกันและทำให้เป๊ปซี่ยกเลิกสัญญากับเธอทันที

ในปี 1990 เธอเริ่มต้น Blonde Ambition Tour ที่ยาวนานกินเวลาทั้งปี และมีเพลง Vogue เป็นซิงเกิลฮิตติดอันดับ 1 อีกหนึ่งเพลง ภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy ทำรายได้อย่างงดงาม เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอนับจาก Desperately Seeking Susan
ในปี 1990 เธอเริ่มต้น Blonde Ambition Tour ที่ยาวนานกินเวลาทั้งปี และมีเพลง Vogue เป็นซิงเกิลฮิตติดอันดับ 1 อีกหนึ่งเพลง ภาพยนตร์เรื่อง Dick Tracy ทำรายได้อย่างงดงาม เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จที่สุดของเธอนับจาก Desperately Seeking Susan

The Immaculate Collection อัลบั้มรวมฮิตอันแรกของเธอ มีเพลงเพิ่มมาใหม่สองเพลง หนึ่งในนั้นคือ Justify My Love ที่เธอช็อคแฟนเพลงด้วยเอ็มวีที่แรงที่สุดในชีวิตของเธอ โดยมีฉากสำคัญคือตอนที่มาดอนน่าจูบกับผู้หญิงต่อหน้าแฟนหนุ่ม เอ็มทีวีแบนวีดีโอนี้โดยยกเหตุผล เรื่องความลามกอนาจารในวีดีโอ ที่มีทั้งเซ็กส์แบบชาย-หญิง, ชาย-ชาย, หญิง-หญิง เธอจึงนำเอ็มวีนี้ ใส่วีดีโอออกขาย แถมยังขายได้ถึง 400,000 ม้วนอีกต่างหาก

ในปี 1992 มาดอนน่าออกหนังสือ Sex ที่รวบรวมภาพโป๊ทั้งของตัวเธอเองและคนดังมากมาย หนังสือเล่มนี้ถูกวิจารณ์ในแง่ลบและถูกด่าอย่างมาก แฟนๆมาดอนน่าบางคนรับไม่ได้จนถึงขั้นเผา ซีดีเลยก็มี แต่ในด้านยอดขายกลับกลายเป็นหนังสือที่ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน หนังสือทุกเล่มถูกขายหมดภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนต้องพิมพ์ครั้งที่ 2 ภายในวันนั้นเลย ทางด้านอัลบั้ม Erotica ที่ออกพร้อมๆกับหนังสือเล่มนี้ก็ขายได้ถึง 2 ล้านก๊อปปี้

อัลบั้ม Bedtime Stories ดูเหมือนจะลดภาพความเซ็กซี่ลงจากอัลบั้มก่อน แต่ก็ยังมีเพลงฮิตอย่าง Take A Bow ส่วนเพลง Bedtime Stories และ Human Nature คงเป็นอานิสงส์ จากการที่เธอลดความเซ็กซี่ เพราะสองเพลงนี้กลายเป็นสองเพลงแรกของเธอที่ไปไม่ถึงชาร์ท Top 40

ในปี 1995 เธอเปลี่ยนลุคตัวเองจากสาวเซ็กซี่มาเป็นผู้ใหญ่ในภาพยนตร์เพลงเรื่อง Evita เธอได้ให้กำเนิด ลูกสาวคนแรก Lourdes Maria Ciccone Leon ในช่วงที่ภาพยนตร์เรื่องนี้กำลังออกฉายพอดี Evita ทำให้เธอได้รางวัลลูกโลกทองคำในสาขานักแสดงนำยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก และเพลงประกอบภาพยนตร์ทั้ง cover ของเพลง Don't Cry for Me Argentina และ You Must Love Me ก็เป็นเพลงฮิตด้วย

3 ปีให้หลังอัลบั้ม Ray of Light เป็นอัลบั้มเต็มอัลบั้มแรกในยุคคุณแม่มาดอนน่าที่มีแนวเพลงทันสมัยขึ้น และเปิดตัวอย่างสวยงามที่อันดับ 2 ของชาร์ท

ปี 2000 มาดอนน่ากลับมาพร้อมอัลบั้ม Music และได้คลอดลูกชายคนที่สอง Rocco John Ritchie กับผู้กำกับ ชาวอังกฤษกาย ริทชี่ (Guy Ritchie) หลังจากนั้นไม่นานทั้งคู่ได้แต่งงานกันและร่วมกันกำกับมิวสิกวีดีโอ What It Feels Like for A Girl ในปีเดียวกันเธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์ James Bond ตอน Die Another Day

ในปีถัดมาเธอออกอัลบั้ม American Life ที่มีเนื้อหาเสียดสีสังคม และเอ็มวีก็เสียดสีจนถูกแบนอีกครั้ง โชว์ Like A Virgin/Hollywood ในงาน MTV Video Music Awards 2003 ที่มาดอนน่าร่วมแสดงกับ บริทนีย์ สเปียร์ส, คริสติน่า อากีเลร่า และ มิสซี่ เอลิออท ก็ช็อคแฟนๆอีกครั้ง เมื่อบริทนี่ย์และคริสติน่าแต่งตัวและแสดงแบบที่มาดอนน่าเคยทำใน เพลง Like A Virgin เมื่อปี 1984 และทั้งคู่ก็จูบปากมาดอนน่าทีละคน ทำเอาจัสติน ทิมเบอร์เลค แฟนเก่าของบริทนี่ย์ มองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก หลังจากนั้นไม่นาน ความสัมพันธ์ระหว่างมาดอนน่ากับบริทนี่ย์เริ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาดอนน่าร้องเพลงร่วมกับบริทนี่ย์ ในเพลง Me Against The Music

Re-Invention World Tour ของเธอกลายเป็นทัวร์ที่ได้รับคำชมมากมายและกวาดรายได้ มากสุดของปี เธอช็อคแฟนเพลงด้วยการเล่นโยคะเอาขาชี้ฟ้ากลางเวที

และในปี 2005 เธอประสบอุบัติเหตุตกหลังม้าแต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการวางแผงอัลบั้มใหม่ Confessions On A Dancefloor อัลบั้มเพลงเปิดตัวด้วยซิงเกิล Hung Up ขึ้นอันดับ 1 ในอังกฤษเป็นเพลงที่ 11 ของเธอ

ในปี 2008 มาดอนน่ามีผลงานอัลบั้มชุดที่ 11 ชื่อชุด Hard Candy โดยมีซิงเกิลแรกคือ "กิพว์อิททูมี" (อังกฤษ: Give It 2 Me) , "4 Minutes" ที่ร้องร่วมกับขึ้นอันดับ 3 ในอเมริกา อันดับ 1 ในอังกฤษจัสติน ทิมเบอร์เลค[1]

ประวัติวง ทราวิส (Travis)


วงทราวิส (Travis ) ฟอร์มวงในช่วงกลางปี 90 ที่ Glasgow สกอตแลนด์ โดยวงดั้งเดิมชื่อ the Glass Onion ได้มีการเปลี่ยนสมาชิกไปมา และจนท้ายที่สุดก็มาลงตัวที่ Francis Healy (ฟรานซิส ร้องนำ) Andy Dunlop (แอนดี้ กีตาร์) Neil Primrose (นีล กลอง) และ Dougie Payne (ดักกี้ เบส) และเมื่อสมาชิกทั้งหมดเรียนจบจากมหาวิทยาลัยศิลปะ ทั้งหมดก็ได้เริ่มคิดจริงจังกับศักยภาพของวง และเริ่มออก EP แรกซึ่งมีชื่อว่า All I Wanna Do Is Rock ด้วยเงินที่ได้มาจากการขอเงินแม่มาทำ ผลคือ All I Wanna Do Is Rock เป็นเพลงกีตาร์ง่ายๆ ที่เหมือนกับเรียกได้ว่าเป็นการ Back to Basic ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมหลังจากการดังระเบิดของ Oasis และจริงๆ แล้ว เพลงนี้ทางวงตั้งใจใช้คำว่า Fxxk แทน Rock ด้วยซ้ำ Travis ได้กลายเป็นวงวงแรกที่เซ็นสัญญากับค่ายเพลงน้องใหม่อย่าง Independiente ซึ่งต่อมาจะกลายเป็นบ้านของศิลปินอย่าง Embrace, Kinesis หรือ Gomez ต่อมาจึงตัดสินใจย้ายไปที่ลอนดอนในปี 1996 พวกเขาเริ่มต้นด้วยการออกซิงเกิลที่ชื่อว่า U-16 Girl ที่เป็นเพลงสนุกๆ และทำให้พวกเขามีแฟนเพลงชื่อดังอย่าง Noel Gallagher มาชวนไปเล่นคอนเสิร์ทด้วย

ในที่สุด พวกเขาก็ออกอัลบั้มแรกที่ชื่อ Good Feeling ด้วยการโปรดิวซ์ของ Steve Lilywhite โปรดิวเซอร์คู่บุญของ U2 ในปี 1997 และมีเพลงดังเก่า 2 เพลงข้างต้นรวมอยู่ในอัลบั้มนี้ด้วย นอกจากนี้แล้ว เพลงอื่นๆ เป็นอัลบั้มหนึ่งที่ทำให้นึกถึงความสนุกแบบที่ The Beatles เคยมอบให้เรามาก่อนอย่าง Tied to the 90' เพลง More Than Us ที่ช้าๆ แต่ซึ้งสุดหัวใจ เรียกได้ว่า Travis ได้จับเอาจุดเด่นๆ ของวงอังกฤษอย่าง The Beatles หรือ Oasis มาผสมผสานจนได้แนวเพลงของตัวเองขึ้นมา และ Good Feeling ได้รับคำชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ทั่วสารทิศ แต่ในแง่ยอดขายแล้ว มันกลับทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก

พวกเขาเก็บความผิดหวังเอาไว้กับตัว และมุ่งหน้าเดินสายทัวร์และเริ่มงานอัลบั้มชุดใหม่ โดยหันไปร่วมงานกับ Nigel Godrich โปรดิวเซอร์คู่บุญของวงระดับตำนานอย่าง Radiohead และพวกเขาก็เปิดตัวอัลบั้มนี้ด้วยเพลงช้าๆ เนิบๆ ที่ชื่อ Writing to Reach You ซึ่งต่างไปจากความเป็นร็อกสนุกๆ ของอัลบั้มที่แล้วเป็นอย่างมาก และมันก็ทำให้พวกนักวิจารณ์เริ่มแอนตี้พวกเขา และยิ่งเมื่อพวกเขาออกอัลบั้มเต็มที่ชื่อว่า The Man Who ที่เต็มไปด้วยเพลงช้าๆ กึ่งหดหู่แล้ว ทำให้พวกเขากลายเป็นเป้าให้นักวิจารณ์สับเล่นอย่างสนุกสนาน แต่ด้วยปาฏิหาริย์ที่ Glastonbury ทั้งๆ ที่ฝนหยุดตกมานานแล้ว แต่พอวงเล่นเพลง Why Does It Always Rain on Me ซึ่งเป็นซิงเกิลต่อมา ฝนกลับตกลงมาอีกครั้ง จนกลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ และจุดกระแสให้ผู้คนสนใจพวกเขา จนยอดขายดีขึ้นมามาก

และซิงเกิลต่อมา Driftwood ก็ยอดเยี่ยมอย่างไม่มีที่ พร้อมทั้งได้เบิกทางให้กับวงรุ่นหลังอย่าง Coldplay หรือ Keane และสุดท้ายแล้ว The Man Who ก็ทำให้พวกเขาคว้ารางวัล Brit Award มาครองได้อย่างงดงาม ทางวงเดินตามรอยความสำเร็จเดิมด้วยการออกอัลบั้ม The Invisible Band ในปี 2001 โดยมีเพลง Sing เป็นเพลงเปิดตัวที่เป็นเหมือนเพลงปลุกใจแบบเงียบๆ และตามด้วยเพลง Side ที่เนื้อเพลงนั้นยอดเยี่ยมจนทำให้เราต้องหันย้อนกลับมามองตัวเอง Flower in the Window เพลงหวานๆ ที่เปรียบเปรยความรักได้อย่างงดงาม และ Follow the Light ให้ความหวังกับเราเสมอ และก็ไม่แปลกเลยที่อัลบั้มยอดเยี่ยมแบบนี้สามารถทำให้พวกเขากลายเป็นวงที่ฮิตระเบิดไปทั่วโลก

และพวกเขาก็ออก 12 Memories ในปี 2004 และ The Boy With No Name ในปี 2007 ก็ยังกลายเป็นงานฮิตชั้นดีเหมือนเดิม และอัลบั้มล่าสุด Ode to J Smith ในปี 2009